กลายเป็นดรามาลูกใหญ่ กรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนรวมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ประกาศนโยบายเรียกเรทติ้งผู้ใช้แรงงานว่า หากได้เป็นรัฐบาลจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และเงินเดือนผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570 จนกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องร้อนที่กระทบไปถึงรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน อย่างนายสุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่องนี้ว่า “เอือมการหาเสียงเพิ่มค่าแรง ครอบครัวเพื่อไทย คนหาเสียงไม่ได้จ่าย คนจ่ายรับเคราะห์เต็ม ๆ พรรคเพื่อไทย หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย อย่าหาเสียงเพราะนึกสนุกแบบนี้ มันเหมือนการโยนระเบิดเวลาให้เจ้าของกิจการ การหาเสียงแบบนี้เป็นการโยนภาระให้ภาคเอกชน แต่ตัวเองได้คะแนนเสียง เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
นอกจากนี้ จะกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศ เพราะจะไม่กล้าเข้ามาลงทุน การออกมาพูดแบบนี้ ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย
ด้านนายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาสวนกลับในเรื่องนี้ว่า เป็นนโยบายที่ทำได้แน่นอน เพราะวิเคราะห์สถานการณ์ค่าของชีพในอีก 5-6 ปีข้างหน้าที่จะเพิ่มขึ้น และเป็นการประเมินเพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนทุกคน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน
ส่วนที่มีการถามว่า จะนำเงินงบประมาณมาจากไหนนั้น ความจริงแล้วรัฐบาลไม่ต้องใช้เงินประมาณใด ๆ เพราะพรรคเพื่อไทยมีนโยบายช่วยให้นายจ้างมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดการจ้างงานในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งมีความคิดที่จะช่วยเหลือนายจ้างให้มีรายได้สูงขึ้นด้วย
ส่วนข้อกังวลที่ว่า การปรับขึ้นค่าแรงจะมีผลให้เสียหายต่อระบบเศรษฐกิจนั้น นายสุทินยืนยันว่า ค่าแรงจะเป็นเพียง 10% ของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น จึงไม่มีผลให้ผู้ประกอบการแบกภาระต้นทุนเพิ่ม และราคาสินค้าแพงไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยมีแนวคิดที่จะช่วยทุกคนในฐานะที่เป็นรัฐบาล ที่จะต้องช่วยนายจ้างไปด้วย
เรื่องของการขึ้นค่าแรง 600 บาทต่อวัน เริ่มเกิดความกังวลขึ้นในส่วนของภาคธุรกิจ เนื่องจากหวั่นว่าจะซ้ำเติมธุรกิจ ต้องแบกภาระค่าแรงเพิ่มเท่าตัว และยังจะทำให้ราคาบ้านพุ่งขึ้นอีกอย่างน้อย 15% จนกลัวธุรกิจไปไม่รอด โดยขอให้ไตร่ตรองนโยบายนี้ให้ดี เพราะอาจส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย
นายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน บอกว่านโยบายนี้จะกระทบกับภาคเอกชนมาก เพราะเท่ากับต้นทุนค่าแรงปรับขึ้น 100% ทำให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจการได้ลำบาก ต้องแบกภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นจากที่สูงอยู่แล้ว ทั้งราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ ภาวะสงคราม เหล็กและวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ ที่ปรับราคาขึ้น รวมทั้งค่าแรงที่เพิ่งปรับเพิ่มขึ้นอีก 10% และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หากผู้รับเหมาก่อสร้างปรับราคาขึ้นตามต้นทุนก็ทำธุรกิจยากขึ้น และกระทบต่อความมั่นคงในอนาคต
นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน บอกอีกว่าอยากให้พิจารณานโยบายนี้ดี ๆ เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย เนื่องจากค่าแรงที่ปรับขึ้นเกือบ 10% สูงสุด 353 บาทต่อวัน ทำให้ต้นทุนก่อสร้างและราคาบ้านสูงขึ้นประมาณ 2% ถ้าค่าแรงขึ้นเป็น 600 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 250 บาท เท่ากับปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70% จะส่งผลกระทบต่อค่าก่อสร้างและราคาบ้านประมาณ 15% ถือว่าสูงมาก ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
ติดตาม รายการ “ข่าวเย็นประเด็นร้อน” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35