สาวสมัครงาน แต่ไม่ได้ สุดช็อกโดนคดีฉ้อโกง เหตุคนสัมภาษณ์เอาสำเนาบัตร ไปตั้งบริษัท !

สาวไล่สมัครงาน กลับถูกบริษัทเอาสำเนาบัตรประชาชนไปปลอมแปลง ไปจดตั้งบริษัท รู้ตัวอีกทีถูกหมายเรียกคดีฉ้อโกง ต้องตระเวนให้ปากคำไปทั่ว ฟากคู่กรณีลั่น "รู้เท่าไม่ถึงการณ์"  

 

 

            วันที่ 11 พ.ย. 65 เบญจมาศ ทวดอาจ (ฟีนส์) ผู้เสียหาย ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า ตนเคยไปสมัครงานที่บริษัท A ซึ่งต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนในการสมัครงาน แต่ตนไม่ได้ขีดคร่อมที่สำเนา และไม่ได้เขียนระบุว่าวัตถุประสงค์ใช้ทำเพื่ออะไร สุดท้ายก็ไม่ได้งานที่นั่น และเอกสารสำเนาบัตรประชาชนก็ไม่ได้นำกลับ ตนก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งหลังจากนั้น 1 ปี ตนถูกหมายเรียกพยาน วันที่ 24 ก.ค. 62 จาก สน.วังทองหลาง ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โดยบริษัท A ฟ้อง บริษัท B และบุคคลภายนอก แต่บริษัท B ดันมีชื่อตนเป็นผู้ถือหุ้นอยู่เขาเลยเรียกตนไป ตนก็ตกใจว่าตนไปถือหุ้นบริษัทได้อย่างไร เพราะตอนนั้นอายุเพิ่งจะ 22-23 จากนั้นตนก็ไปให้ปากคำกับตำรวจ ตนก็ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้รู้เรื่องการเป็นผู้ถือหุ้นหรือรู้จักบริษัทดังกล่าวเลย ทางตำรวจก็ได้เอารายชื่อบุคลากรในบริษัท B มาให้ตนดู ตนก็ไม่รู้จักใครเลย แต่คลับคล้ายอยู่ 1 คน ว่าเป็นคนสัมภาษณ์งานตนตอนที่ตนไปสมัครงานบริษัท A   

 

            จากนั้นเลยไปที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อตรวจสอบเอกสารจดทะเบียนบริษัท เป็นของตนจริง ๆ หรือเปล่า พบว่า เป็นสำเนาบัตรประชาชนของตนจริง แต่ไม่ใช่ลายเซ็นต์ของตน และหลังบัตรประชาชน เบอร์โทร ก็ไม่ใช่ของตน ตนเลยไปแจ้งความกลับที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ ข้อหาแจ้งเท็จและใช้เอกสารปลอม หลังจากนั้นไม่นาน ผู็หญิงที่เป็นคนสัมภาษณ์งานตนที่บริษัท A ติดต่อเข้ามา ขอเจรจาไกล่เกลี่ย อยากให้ตนถอนแจ้งความให้ จะให้สินน้ำใจ และยอมรับว่าเอาเอกสารตนไปจริง พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลว่าใช้ทำไม ตนก็มองว่ามันไม่เกี่ยวกับตนอยู่ดี สุดท้ายเขากลับพูดว่า "เรื่องแบบนี้ใคร ๆ เขาก็ทำกัน"  ต่อมามีหมายเรียกพยานครั้งที่ 2 มาหาตนวันที่ 29 ก.ย. 62 ที่ สภ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ข้อหาบุกรุก โดยตนให้การปฏิเสธว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท B เช่นเดิม และเอาหลักฐานการแจ้งความจาก สภ.รัตนาธิเบศร์ไปยืนยัน และยังโดน สน.วังทองหลาง  ออกหมายเรียกพยาน ไปสอบปากคำอีกครั้งวันที่ 23 ก.ย. 64 

 

 

            นอกจากนี้ตนยังโดน หมายเรียกจากสน.โคาคราม 2 หมาย ในข้อหาหมิ่นประมาทฯ เนื่องจากตนได้มีการโพสต์เตือนภัยจากเหตุการณ์ตนเจอ แต่ตนก็ไม่ได้ระบุชื่อใคร หรืออ้างอิงบริษัทไหน เขาเลยเอาไปฟ้องตน ล่าสุดคดีนี้อัยการสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว ทั้งนี้ ตนถูกก่อกวนในที่ทำงานใหม่ จนต้องลาออก ตกงานนาน 9 เดือน ไม่กล้าไปสมัครงานเลย กลัวจะถูกคุกคามที่ทำงานแบบเดิมอีก และเขายังส่งชายรูปร่างสูงใหญ่ไปข่มขู่แม่ที่ต่างจังหวัด โดยให้แม่มาคุยกับตนเพื่อถอนแจ้งความให้เขา ตอนนี้ตนเครียด และห่วงเรื่องความปลอดภัย รวมถึงรูปคดีด้วย เพราะคู่กรณีอ้างว่า แฟนเขาเป็นผู้พิพากษาสมทบ ขณะเดียวกันตนเคยไปร้องเรียนให้ถอนชื่อออกจากออกจากบริษัทดังกล่าวแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคู่กรณีไม่มาให้ถ้อยคำ เจ้าหน้าที่เลยบอกว่า ต้องมีคำพิพากษาจากศาลเท่านั้นถึงจะถอนได้ ซึ่งตอนนี้คดีความยังไม่จบ

 

 

            อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้ถอนชื่อตนออกจากบริษัทดังกล่าว หรือไม่ก็ถอนบริษัทนี้ออกจากการเป็นบริษัทก็ได้ เพราะมีชื่อตนเป็นผู้ก่อตั้ง และไม่ได้จดบริษัทโดยไม่ชอบธรรม และอยากให้เขาเลิกคุกคามตนสักที ยืนยันว่าจะไม่ยอมความให้ เพราะตนก็ไม่แน่ใจว่าถ้ายอมความให้ ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง 

 

 

            ด้าน เอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เผยว่า เคสนี้มันค่อนข้างชัดเจนมากในเรื่องของบัตรประชาชน ตัวผู้เสียหายถ่ายสำเนาบัตรประชาชนเพื่อไปสมัครงานแค่ด้านหน้าด้านเดียว แต่ในเอกสารจดทะเบียนบริษัทมันมีกลับมีทั้ง 2 ด้าน ซึ่งเมื่อนำสำเนาที่ถูกปลอมแปลงมาเทียบกับบัตรประชาชนตัวจริง ปรากฎว่าด้านหน้าเป็นตัวจริง แต่หลังบัตรเป็นของคนอื่น ซึ่งเรื่องนี้ควรเตือนภัยกับพี่น้องประชาชนมาก 

 

            ขณะเดียวกัน ตนแนะนำให้ไปสำนักงานอัยการสูงสุด ให้เขาช่วยดูที่ผู้เสียหายไปแจ้งความที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ ว่าทำไมมันถึงล่าช้าจัง แจ้งความตั้งแต่ปี 62 แต่จนตอนนี้คดียังไม่สั่งฟ้องศาลเลย 

 

 

            ขณะที่ พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า อาจจะสามารถยืนยันได้ว่าตัวผู้เสียหายไม่ได้เกี่ยวข้อง จาก ข้อมูลหน้าบัตรหลังบัตรที่ไม่ตรงกัน เผลอ ๆ เขาเอาหลังบัตรของพวกเดียวกันมาใช้ด้วย เคสแบบนนี้ตนเจอเยอะมาก เอาสำเนาบัตรประชาชนมาใช้แล้วไม่ได้ขีดคร่อม ก็ถูกเอาไปใช้ เขาเอามาตัดแปะใช้งานใหม่ได้ และเซ็นต์ลายเซ็นต์ปลอม 

 

            ส่วนเรื่องการยกเลิกการจดทะเบียนบริษัท ผู้ร่วมจดทะเบียนเขาก็ต้องมาด้วย ทีนี้ถ้าเขาไม่มา นายทะเบียนพิจารณาจากคำสั่งศาลได้ ดังนั้นอาจจะไปร้องต่อศาลให้ท่านมีคำสั่งให้ก็ได้ และทำหนังสือไปที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่าเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว ยืนยันความบริสุทธิ์ เวลาเกิดอะไรขึ้น เขาจะได้หมายเหตุไว้ เราจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ 

 

            อย่างไรก็ตามเคสนี้ผู้เสียหายสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้เยอะมาก ข้อหาแรกคือ ให้ข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน อีกทั้ง ข้อหาปลอมแปลงรายมือชื่อในบัตรประชาชน แถมยังใช้เอกสารปลอม พวกนี้มีโทษหนักมาก และที่สำคัญเลยตอนนี้มี พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแล้วด้วย ขณะเดียวกันเรื่องการข่มขู่ก็ไปแจ้งความกับตำรวจเป็นคดีอาญาเลย