ปัจจุบันมือถือหลายค่ายมักจะไม่แถมหัวชาร์จมาให้ บางคนที่ไม่มีหัวชาร์จเดิม ก็ต้องลำบากไปหาซื้อใหม่ ซึ่งหัวชาร์จตามท้องตลาดก็มีหลายรุ่น หลายแบบ คำถามคือถ้าจะเลือกซื้อยังไงให้เหมาะ ?
หากเราอยากได้หัวชาร์จที่เข้ากันได้กับมือถือ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ แบบ 100% เราก็ต้องเลือกหัวชาร์จตรงรุ่น ที่เขาขายตามศูนย์เลย แต่ราคาอาจจะสูงไปสักหน่อย หลายคนมองว่าแพง ก็เลยมองหาหัวชาร์จทางเลือกมาใช้
สิ่งแรกที่เราต้องดู หากจะซื้อหัวชาร์จมาใช้ คือเราจะเอามาชาร์จกับไฟบ้าน หรือเอามาชาร์จกับไฟรถยนต์
หากเป็นไฟบ้านก็เลือกหัวชาร์จที่เป็นขาปลั๊กธรรมดา แต่ถ้าเอามาใช้บนรถยนต์ขาก็จะเป็นแท่งกลม ๆ เอาไว้เสียบกับช่อง DC อันนี้เอามาชาร์จด้วยกันไม่ได้ เพราะใช้กระแสไฟนคนละแบบ
เรื่องถัดมาที่เราต้องดูคือ สายชาร์จที่แถมมาให้ในกล่อง เป็นแบบไหน เพื่อจะได้เลือกหัวชาร์จได้ถูกประเภท
วิธีเช็กว่าเป็นแบบไหนก็ไม่ยาก ให้ลองเสียบกับอุปกรณ์ แล้วดูว่าปลายสายชาร์จอีกฝั่งเป็น หัวใหญ่แบบ USB-A หรือ หัวเล็กแบบ USB-C พอเรารู้แล้วว่าปลายสายชาร์จเป็นแบบไหน ต่อมาต้องมาดูรูเสียบบนหัวชาร์จ ที่ต้องเป็นแบบเดียวกัน อันนี้เราจะเห็นได้ง่ายเลย เพราะบนเว็บไซต์ขายหัวชาร์จ หรือบนกล่องสินค้า จะมีรูปแปะอยู่ อันไหนตรงก็เลือกอันนั้นเลย
แต่หัวชาร์จบางรุ่นจะมีหัวเสียบมากกว่าหนึ่งช่อง บางรุ่นมี 4-7 ช่องเลย ทั้งนี้ที่ต้องมีหลายช่องเพราะเอาไว้รองรับเทคโนโลยีการชาร์จหลายแบบ และเอาไว้รองรับการชาร์จหลาย ๆ อุปกรณ์ในเวลาเดียวกัน อันนี้จะช่วยประหยัดเวลา และทำให้เราไม่ต้องพกหัวชาร์จหลายอัน อันเดียวชาร์จได้ทั้ง มือถือ แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก เพาเวอร์แบงค์ ถ้าเราเป็นคนที่พกอุปกรณ์เยอะๆ หัวชาร์จแบบนี้ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี และเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ต้องดู คืออัตราการจ่ายไฟของหัวชาร์จ ซึ่งจะมีหน่วยนับเป็น วัตต์ (Watt) หรือที่เขียนด้วยอักษรดับเบิ้ลยู (W)
ถ้าเป็นมือถือทั่วไปก็แนะนำว่าเลือกหัวชาร์จที่สามารถจ่ายไฟสัก 20 วัตต์ขึ้นไป แต่ถ้าเป็นเป็นแท็บเล็ตก็แนะนำสัก 30 วัตต์ขึ้นไป ส่วนโน้ตบุ๊กเครื่องบาง ๆ แนะนำว่าให้เลือกตัวที่จ่ายไฟได้ 45 วัตต์ขึ้นไป
แต่ถ้าเราอยากจะชาร์จเร็วกว่านั้น ก็สามารถเลือกหัวชาร์จที่มีกำลังการจ่ายไฟมากกว่าได้ และไม่ต้องกังวลเรื่องการจ่ายไฟเกินจนทำให้อุปกรณ์เสียหาย เพราะเดี๋ยวนี้อุปกรณ์จะสามารถกำหนดระดับไฟสูงสุดที่รับได้ด้วยตัวเอง จึงไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้มีปัญหาภายหลัง
นอกจากนี้เรายังต้องดูว่าหัวชาร์จใช้มาตรฐานการชาร์จเร็วแบบไหน เอาที่เห็นบ่อยก็จะมีมาตรฐาน PD หรือ USB Power Delivery ส่วนใหญ่จะใช้ได้กับค่าย Samsung, Apple, Xiaomi หรือโน้ตบุ๊กทั่วไป อีกตัวที่เห็นบ่อยเหมือนกันคือ Quick Charge อันนี้ก็จะใช้ได้กับมือถือ Android ที่ใช้ชิปเซ็ตของ Snapdragon ซึ่งมีด้วยกันหลายค่าย
แต่ถ้าหัวชาร์จมีเขียนว่า VOOC (วูค) ใช้ได้เฉพาะมือถือค่าย OnePlus, Realme Oppo หรือถ้าเป็น SuperCharge ก็จะรองรับมือถือค่าย HUAWEI หรือ HONOR สุดท้ายถ้าเป็น HyperCharge ก็จะรองรับกับค่าย Xiaomi สำหรับการชาร์จเร็ว
จุดถัดมาที่ต้องดูก็คือ ขนาดและน้ำหนักของหัวชาร์จ เรื่องนี้เราจะซื้อมาเสียบใช้ที่บ้านอย่างเดียวก็ผ่านหัวข้อนี้ไปได้เลย แต่ถ้าเราจะซื้อหัวชาร์จไว้ใช้นอกสถานที่ เรื่องขนาดและน้ำหนักก็ต้องเลือกให้เล็กและเบาที่สุด และถ้าตัวขาปลั๊กสามารถพับได้ด้วยก็จะดีที่สุด
สุดท้ายที่เราต้องดูคือมาตรฐานความปลอดภัยของหัวชาร์จ เรื่องนี้หลายคนมองข้าม แต่ความจริงคือถ้าเราใช้งานหัวชาร์จที่ไม่มีมาตรฐานจะส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่รวมไปถึงตัวอุปกรณ์สมาร์ตโฟนด้วย แนะนำว่าถ้าจะซื้อหัวชาร์จทางเลือก ก็ควรมองหารุ่นที่มีสัญลักษณ์ Ce Fcc และ RoHS เพื่อความปลอดภัย หรือถ้ามีพวกเทคโนโลยีป้องกันไฟต่าง ๆ เช่น ไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชาก ติดมาด้วยก็จะดีมาก
และที่สำคัญต้องดูยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะดูได้จากข้างกล่อง หรือ บนตัวหัวชาร์จเลยว่า ผ่านมาตรฐาน มอก. รวมถึงต้องมีการรับประกันที่ชัดเจน และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เผื่อเกิดปัญหาจะได้ติดต่อได้ ก็จะอุ่นใจที่สุด
และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราต้องดูหากจะซื้อหัวชาร์จทางเลือกมาใช้งาน หวังว่าเลือกซื้อหัวชาร์จครั้งหน้า จะได้หัวชาร์จที่ตรงกับความต้องการนะ
ติดตาม รายการ “แบไต๋ 7HD ไอทีและยานยนต์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.20-12.40 น. ทางช่อง 7HD กด 35