ปมผับฉาวย่านยานาวา ซึ่งลุกลามไปถึงแวดวงการเมืองแล้ว หลังกระแสข่าวเชื่อมโยงว่า เสี่ยผับฉาวแห่งนี้ มีชื่อบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ จำนวนกว่า 3 ล้านบาทเมื่อปี 2564 ยืนยันบริจาคถูกต้องตามกฏหมาย โดยทางพรรคไม่ได้ตรวจสอบประวัติส่วนบุคคลที่บริจาคเงินให้กับพรรค พร้อมย้ำว่า ไม่มีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนทางการเมือง
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่า นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ มีชื่อบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 3 ล้านบาทเมื่อปี 2564 ซึ่งมีการบริจาคเงินจริง แต่การที่มีบุคคลมาบริจาคเงินให้กับพรรคนั้น พรรคไม่สามารถที่จะไปรู้รายละเอียดประวัติส่วนบุคคล ซึ่งการบริจาคดังกล่าวเป็นไปในรูปแบบตามที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เป็นผู้กำหนดไว้ ซึ่งเป็นบริษัทห้างร้านที่มีกำไร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังบอกอีกว่า ได้มีการสอบถามกับสมาชิกพรรคแล้ว ซึ่งไม่มีผู้ใดมีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับนายชัยณัฐร์ จึงคาดว่า อาจจะเป็นความศรัทธาต่อพรรคการเมือง และเงินบริจาคดังกล่าวเป็นเงินที่มาถูกต้องตามกฎหมาย “เข้าตามตรอกออกตามประตู” ซึ่งพรรคไม่ได้ทราบถึงที่มาของเงินบริจาคว่ามาอย่างไร
ตนขอยืนยันว่า ไม่มีผลประโยชน์หรือข้อแลกเปลี่ยนทางการเมือง เนื่องจากการกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง ไม่เช่นนั้นก็จะถูกยุบพรรคการเมืองได้
ประเด็นนี้ร้อนต่อเนื่อง ซึ่งนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อหาสรุปว่า “ทุนการเมือง” หากมีทุนยาเสพติด บริจาคให้สัก 10 ล้าน โดยเข้าตามตรอกออกตามประตู อย่างที่คุณสมศักดิ์แห่งพรรคพลังประชารัฐว่าเอาไว้ จะไม่สงสัยเลยสักนิดหรือว่า เงินจำนวนมากขนาดนี้มาจากนายทุนประเภทไหน เพราะอย่าง นายเป๋อ นายป่อง ชาวบ้านทั่วไปเขาคงไม่บริจาคเงินให้มากขนาดนั้นได้
ฉะนั้น เมื่อเป็นพรรคการเมืองรับบริจาค ต้องสมควรระวังมากกว่าปกติหรือไม่ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาจะ “เอาทุนไปต่อทุน” เพื่อเดินหน้าให้ได้ ส.ส. อย่างเดียว และ “ทุนการเมือง” หากรับมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ มันน่ากลัวไม่ใช่เล่นนะครับท่าน
เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องชี้เบาะแสให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ตรวจสอบ กรณีที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนยอมรับว่า มีนายทุนจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถูกจับในสถานบันเทิงจินหลิง ย่านยานนาวา และ มีการแปลงสัญชาติเป็นไทย บริจาคเงินเข้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เมื่อปี 2564 เป็นจำนวน 3 ล้านบาท โดยมีหลักฐานปรากฎในเอกสาร กกต. เป็นที่รับรู้กันโดยกว้างขวางแล้วนั้น เป็นการฝ่าฝืน มาตรา44 มาตรา 72 และหรือ ม.74 ของ พรป.พรรคการเมือง 2560 หรือไม่
พรป.พรรคการเมือง 2560 มาตรา72 ยังห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่สำคัญใน ม.44 ของกฎหมายข้างต้น ยังห้ามมิให้พรรคการเมือง ผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมือง และสมาชิกรับบริจาค จากผู้ใดเพื่อกระทําการหรือสนับสนุนการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดินอีกด้วย หากพรรคการเมืองฝ่าฝืนมาตราใดมาตราหนึ่งข้างต้น ย่อมเข้าข่ายความผิดตาม ม.92(3) ซึ่ง กกต.มีอำนาจที่จะเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งให้ยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
ติดตาม รายการ "ข่าวเย็นประเด็นร้อน" ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35