ขอโวย ! ดารา-ผู้จัด ร้องสื่อ หลังถูกนายทุนหลอกสร้างหนัง เซ็นเช็คเด้ง 3.2 แสน : ช็อตเด็ด ถกไม่เถียง

สุดช็อกวงการหนัง หลังป้าแมว ควงทีมงาน ภาพยนต์ "คุณตูบสายดาร์กปิดเมืองกัด" ร้องสื่อ ถูกนายทุนกำมะลอเทงบประมาณจนต้องยกกอง พร้อมเซ็นเช็คเด้งให้ !  

 

 

            วันที่ 21 ต.ค. 65 ช่อผกา โสภิพันธ์ (เอ๋) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ เล่าว่า นายไหล ที่เป็นหนึ่งในนักแสดงเรื่องนี้ เป็นคนประสานติดต่อนายทุนคนดังกล่าวมา และได้มีการตกลงกันก่อนเซ็นสัญญา ว่าเงินลงทุน 3-5 ล้านต้องให้ก่อนวันบวงสรวง แต่มีการโอนมาแค่วันบวงสรวง 4 หมื่นบาท นอกจากนั้นตนใช้เงินทุนที่มีอยู่แล้วสำรองออกไปก่อน ที่เชื่อใจเขาเพราะนายไหล เป็นคนพามา อีกทั้งลูกชายเขายังร่วมแสดงด้วย 

 

            อย่างไรก็ตาม กระทั่งวันเปิดกล้องตนต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อนทั้งหมด ดำเนินการไปตามเดิม พอทุนเริ่มหมดกต้องไปหยิบยืมคนอื่นมา ส่วนเงินที่ต้องสำรองไป จำนวนเงินเกินแสนบาท 

 

 

            ด้าน กรกรรณ วังวรรธนะ (ตั้ม) ผู้กำกับภาพยนตร์ เล่าว่า ตนนี้ถ่ายไปได้ค่คิวเดียว กับก่อนหน้านี้ที่เป็นคิวเวิร์กช็อป มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่ตนต้องยกกอง เพราะไม่อยากให้เสี่ยงไปมากกว่านี้ แค่ตอนถ่ายคิวแรกใช้จ่ายไป 2-3 แสนบาทแล้ว ตอนถ่ายทำตนก็ไม่มีกะจิตกะใจ เพราะเงินมันยังไม่เข้า สุดท้ายต้องให้นายไหล โทรไปฟอร์มขอยืมเงินจากภรรยานายทุน 5 หมื่นบาท มาจ่ายค่ารถตู้ทีมงาน ตนทำงานมามากมายในวงการยังไม่เคยมีประวัติเสีย มาเจอเอาคราวนี้ทำเอาเซเลย 

 

            ส่วนที่ไปแจ้งความเป็นเรื่องของเช็คเด้ง มันเป็นเช็คเงินสดจำนวน 3.2 แสนบาท ขอให้เขาเซ็นให้เป็นค่าตัวทีมงานต่าง ๆ ในวันคิวแรก  โดยเหตุการณ์วันนั้นเกิดหลังจากที่สั่งยกกองไป นายทุนเขาจะเข้ามารับลูกและภรรยา เราก็เลยให้เขาเข้ามาเคลียร์เรื่องเงิน จึงให้เขาเซ็นเช็คก่อน ถึงจะให้พาแฟนกับลูกกลับไป   

 

 

            ขณะที่ รุ่งกานดา เบญจมาภรณ์ (ป้าแมว ดาวพระศุกร์)นักแสดง เผยว่า ตนเข้ามารับบทเป็นตัวร้ายในเรื่อง โดยคนที่ชวนเข้ามาก็คือ ตั้มผู้กำกับ ซึ่งได้นัดกันถ่าย 2 คิว พอตนไปถึงกองถ่ายทีมงานก็แซวว่าทำไมกระเป๋าตนใหญ่จัง ตนก็บอกว่า วันนี้เอาเงินมาหลายล้าน เหมือนตนพูดเป็นลางก่อนจะเกิดเรื่อง พอถึงวันที่ต้องไปถ่าย ตนสังเกตุเห็นว่าตั้มผิดปกติ ลุกลี้ลุกลน ดูไม่เป็นตัวของตัวเอง จนกระทั่งเย็นวันนั้นทีมงานไม่ติดต่อมาบอกตนว่าต้องไปถ่ายที่ไหนต่อ ก็มารู้ว่ายกกองไปแล้ว ทั้งนี้จากประสบการณ์เซนส์มันบอกตนตั้งแต่วันบวงสรวงแล้วว่าน่าจะพัง เพราะมันไม่มีความพร้อมเท่าไหร่    

 

 

            พุฒิพงศ์ ป้องคำ (ไหล) นักแสดง และผู้ประสานงานระหว่างกองถ่ายกับนายทุน กล่าวว่า นายทุนคนนี้ตนรู้จักจากสายงานก่อสร้างที่ตนประสานอยู่ ในช่วงที่กำลังคุยงานก่อสร้างกันอยู่ได้เล่าพล็อตหนังเรื่องนี้ให้เขาฟัง จึงชวนเขามาลงทุน พร้อมกับที่เขาอยากให้ลูกมาแสดงหนังเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ เจตนาตนแค่ต้องการให้หนังเรื่องประสบความสำเร็จ สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะให้เงินได้เมื่อไหร่ 

 

            ขณะที่ ในสายงานการก่อสร้าง เขาไม่ได้มีประวัติอะไร แต่ที่ตนเจอคือ ตนรอเขาอัพเดทการเงิน เพื่อจะดำเนินงานต่อ ต้องการให้เขาอัพเดท แต่ก็ได้แต่รอ แล้วก็เลื่อน 

 

            ขณะเดียวกัน สมคิด เทพสุวรรณ์   นายทุน เล่าว่า ตนเป็นผู้ร่วมทุน ไม่ใช่นายทุน ผู้ร่วมทุนมีเท่าไหร่ก็มาร่วมด้วยช่วยกัน ถ้าให้ตนลงทุนทั้งหมด 5 ล้าน ก็ต้องมีอะไรมาการันตี ว่าตนจะได้กำไร สัญญาที่เซ็นกันตนเซ็นไปเพื่อรับมาพิจาณา ตนยังไม่ได้ตอบสนองกลับไป สัญญาที่เซ็นไปตนไม่รู้ ไม่ได้อ่าน ที่เซ็นสัญญาเพราะ ตกลงกับนายไหลว่า ถ้างานก่อสร้างที่ดีลไว้สำเร็จ จะร่วมทุน แต่งานมันไม่ผ่าน เลยไม่มีเงินไปลงทุน ตนตกกระไดพลอยโจนเช่นกัน ส่วนเรื่องเช็ค 3.2 แสน ตนจงใจทำให้มันเด้ง เนื่องจากวันที่เซ็นเช็ค ตนจะเข้าไปรับภรรยาที่กองถ่าย แต่ภรรยาถูกกังขังไว้ เลยเซ็นเพื่อให้เรื่องมันจบ จะได้กลับบ้าน   

 

 

            รสสุคนธ์ ภรรยาของนายทุน เผยว่า ยืนยันว่าเช็คที่สามีเซ็นเช็ค 3.2 แสนไป เพราะถูกบังคับ เนื่องจากตนถูกกักขังอยู่ สามีอยากเอาตนและลูกกลับบ้าน เขาล็อกประตูข้างนอกทำให้ตนออกไปไม่ได้ 

 

            คุณตั้ม เล่าเพิ่มว่า สัญญาที่เอาให้เขาเซ็น เขียนไว้ชัดเจนว่าเป็นสัญญาผู้ร่วมทุนในการสร้างภาพยนต์ จำนวนเงินจำนวนเงิน 3-5 ล้านบาท ในสัญญาระบุไว้ทุกอย่าง ระบุชื่อตน คุณเอ๋ ชื่อ ที่อยู่ เลขบัตรประชาชน เลขทะเบียนพาณิชย์ แบ่งสัดส่วนผลประโยชน์มีหมด ละเอียดมาก 

 

            เอ๋ กล่าวเพิ่มว่า ตนไม่ได้ไปบังคับให้เขาเซ็นเช็ค ภรรยาเขาก็ไม่ได้กักขัง แค่ขอให้เขาเซ็นเช็คให้ เพราะตนก็แย่เหมือนกัน ขณะเดียวกัน รีสอร์ทที่พักตอนนั้นเขาคล้องกุญแจตอนกลางคืนอยู่แล้ว 

 

 

            ฟาก สงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ให้ความเห็นว่า การลงลายมือชื่อในสัญญาทำภาพยนต์ จะอ่านหรือไม่อ่าน เวลามีข้อพิพาทนำคดีขึ้นสู่ศาล ศาลท่านไม่เชื่อหรอก ดังนั้นเรื่องนี้ถ้ามีข้อพิพาท ให้ไปยื่นขอไกล่เกลี่ยต่อศาล ส่วนเรื่องจงใจทำให้เช็คเด้ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท  

 

           ดังนั้นเรื่องนี้ถ้ามีข้อพิพาท แนะนำให้ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายใดก็ได้ ไปยื่นคำร้องในศาลในเขตอำนาจที่มีการลงลายมือชื่อ ขอไกล่เกลี่ย ให้ศาลดูเลยว่าสัญญาฉบับนี้ใครต้องรับผิดอย่างไร ขณะที่เรื่องที่จงใจทำให้เช็คเด้ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท