หลอดไฟเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าพื้นฐานที่สุดที่ทุกบ้านจะต้องมี และเป็นอุปกรณ์ที่มีผลต่อบรรยากาศและการใช้ไฟฟ้าในบ้าน เวลาหาซื้อก็ต้องเลือกดี ๆ เอาที่เหมาะสม และต้องประหยัดไฟ คำถามคือต้องเลือกยังไง แบไต๋มีคำตอบ
สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนจะเลือกซื้อคือ ประเภทของหลอดไฟ ปกติแล้วหลอดที่ใช้ในบ้านจะมีอยู่ 3 ประเภทคือ หลอดไฟแบบไส้, หลอดไฟฟลูออเรสเซนซ์, และหลอดไฟ LED
โดยหลอดไฟแบบไส้ ใช้การสร้างแสงจากความร้อน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าที่มีใช้กันมาเป็นร้อยปีแล้ว หลอดนี้มีข้อดีคือ ราคาถูก หาซื้อง่าย หลอดหนึ่งราคาแค่สิบกว่าบาทเท่านั้นเอง แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีข้อเสียใหญ่เรื่องอายุการใช้งานที่สั้นกว่าหลอดทุกประเภท บวกกับมีการปล่อยความร้อนออกมาค่อนข้างเยอะ ทำให้ไม่นิยมใช้ในบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนใช้ประโยชน์จากความร้อนในการใช้ฟักไข่ของสัตว์ หรือใช้รักษาอุณหภูมิหาอาหาร เรียกว่าหลอดไฟแบบไส้เหมาะกับการใช้งานที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง
หลอดไฟฟลูออเรสเซนซ์ เป็นหลอดที่ได้รับความนิยมมายาวนาน การสร้างแสงจะเกิดจากกระแสไฟฟ้าทำปฏิกิริยากับสารเคมีภายในจนเกิดการเรืองแสงขึ้น มีข้อดีหลายจุด อย่างแรกคือมีให้เลือกหลายรูปลักษณ์ ทั้งแบบแท่ง แบบกลม แบบตะเกียบ หรือแบบเกลียว แต่ละแบบก็จะกระจายแสงได้ต่างกัน ต่อมาคือมีอายุใช้งานยาวนานกว่า มีความร้อนน้อยกว่า และที่สำคัญประหยัดไฟกว่าหลอดไฟแบบไส้ เนื่องจากต่อการกินไฟหนึ่งวัตต์ให้ความสว่างมากกว่า จึงเหมาะกับการติดใช้ภายในบ้านและนอกบ้าน แต่ข้อเสียก็มีอยู่เช่นกันคือถ้าเปิดและปิดบ่อย ๆ อายุการใช้งานจะสั้นลง
สุดท้ายคือ หลอดไฟ LED หลอดไฟที่สร้างแสงสว่างด้วยการเปล่งแสงผ่านสารกึ่งตัวนำที่ทำปฏิกิริยากับกระแสไฟฟ้า เรียกว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าหลอดแบบเดิมทุกด้าน ทั้งมีความสว่างที่มากกว่า ประหยัดไฟกว่า อายุการใช้งานยาวนานกว่า ในบางรุ่นเปลี่ยนสีและปรับความสว่างได้ รวมถึงตอนนี้ราคาแทบไม่ต่างจากหลอดฟลูออเรสเซนซ์แล้ว
ปัจจุบันหลายคนจึงเริ่มเปลี่ยนมาใช้หลอด LED ในบ้านมากขึ้น เห็นมีแต่ข้อดี ข้อเสียก็มีเช่นกัน คือหลอด LED มีความร้อนสะสมมากกว่าซึ่งอาจทำให้หลอดพังไว การติดใช้กลางแจ้งจึงไม่เหมาะสักเท่าไร ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย คิดว่าในอนาคตต้องมาแทนหลอดแบบเดิมแน่นอน
พอเราเลือกหลอดที่เหมาะสมกับการใช้งานไปแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องดูคือ “โทนสีของแสงไฟ” เพราะส่งผลกับความรู้สึกและอารมณ์ของคนที่อยู่ในห้อง ซึ่งปกติจะมีอยู่ 3 โทนคือ วอร์มไวท์ (Warm white), เดย์ไลท์ (Daylight) และคูลไวท์ (Cool white)
โดยวอร์มไวท์ (Warm white) จะให้แสงโทนสีส้มที่มองแล้วรู้สึก นุ่มนวล อบอุ่น และผ่อนคลายที่สุด โทนนี้เหมาะกับการใช้ห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือโซนที่ต้องการพักผ่อน
ส่วนเดย์ไลท์ (Daylight) จะเป็นแสงโทนสีธรรมชาติ สว่างเหมือนกับแสงในตอนกลางวัน ทำให้มองเห็นได้ชัดและให้รู้สึกสดใส กระฉับกระเฉง และตื่นตัว จึงเหมาะกับการใช้ในห้องทำงาน ห้องอ่านหนังสือ หรือสำนักงานเป็นต้น
ส่วนคูลไวท์ (Cool white) จะเป็นแสงสว่างสีขาวอมฟ้า จะมีความสว่างมาก แต่แสงจะมีความแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ เหมาะกับใช้ในโชว์รูมรถยนต์ หรือร้านขายสินค้าไอที ที่ต้องการทำให้สินค้าดูโดดเด่น แวววาว
ทีนี้ก็รู้แล้วว่าโทนสีของแสงส่งผลกับเราอย่างไร เวลาเลือกซื้อก็ดูให้ดี ๆ ว่าเป็นโทนสีที่เราต้องการไหม แต่ถ้าเราใช้หลอด LED ที่ราคาสูงหน่อย อันนี้จะปรับแสงสีได้ตามต้องการเลย
ติดตาม รายการ “แบไต๋ 7HD ไอทีและยานยนต์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.20-12.40 น. ทางช่อง 7HD กด 35