หลังจากที่มีกฎหมายการบังคับคาดเข็มขัดทุกที่นั่ง ส่งผลให้ผู้ใช้รถใช้ถนนบ่นเป็นเสียงเดียวกัน ยิ่งผู้ใช้รถกระบะแค็บที่ไม่มีเข็มคัดคาดตอนหลังได้ออกมาเรียกร้องต่อข้อบังคับนี้อย่างมาก และนอกจากนี้ ยังมีกฎหมายข้อบังคับใช้ที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก หรือ “คาร์ซีท” ไว้สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปีซึ่งกฎหมายทั้งสองนี้จะมีผลบังคับใช้วันที่ 5 กันยายนที่จะถึงนี้ ร่วมพูดคุยคลายข้อสงสัย และวิธีรับมือกับข้อกฎหมายใหม่ไปกับ “นพ. ธนะพงศ์ จินวงษ์” ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)
นพ. ธนะพงศ์ กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของกฎหมายนี้คือเรื่อง Safety หรือความปลอดภัย เพราะการคาด Belt หรือเข็มขัดนิรภัย เวลาเกิดเหตุขึ้น ไม่ว่าทั้งตอนหน้าหรือตอนหลังของรถ แรงปะทะที่เกิดขึ้นอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างตอนหน้าของรถก็จะมี Airbag เสริมเพิ่มขึ้นมาด้วย ส่วนตอนหลังของรถ การคาด Belt สามารถเซฟโดยขั้นต่ำได้ถึง 50% ถึง 70% และถ้าเป็นคาร์ซีทของเด็กสามารถเซฟได้ถึง 69%
ตัวสถิติในเชิงการใช้งานนั้นยังไม่มี แต่ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข 5 ปีย้อนหลังมานี้ ในปี พ.ศ. 2560-2564 กล่าวว่า ในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 ปี มีการเสียชีวิตบนท้องถนนถึง 1,155 คน การเสียชีวิตจากลักษณะการนั่งโดยสารมี 221 คน เฉลี่ยในแต่ละปีแล้ว เสียชีวิตปีละประมาณ 44 คน หรือประมาณสัปดาห์ละเคส เมื่อเจาะลึกลงไป จำนวนการใช้คาร์ซีทในปัจจุบัน มีเด็กที่ใช้งานจริง ๆ แล้วมีเหตุที่ทำให้ต้องได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต มีเพียง 3.46% เท่านั้น ถือเป็นจำนวนตัวเลขที่น้อยมาก
นพ. ธนะพงศ์ กล่าวอีกว่า ภาพรวม ณ ตอนนี้ เนื่องจากกฎหมายยังไม่พร้อมใช้เลยทีเดียว จึงมี 2 ส่วนที่ประกาศ อย่างแรกคือการบังคับใช้ในวันที่ 5 ก.ย 65 จะถูกบังคับใช้กับรถยนต์ส่วนบุคคลและรถแท็กซี่ อย่างต่อไปคือ ส่วนของคาร์ซีทในจำพวกรถสองแถวหรือรถกระบะแค็บ จะขยับไปออกกฎหมายลูกก่อน ไปจนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 65 คาดการณ์ไว้ว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 5 ธ.ค. 65
ในส่วนของตัวกฎหมายลูกที่จะออกมานั้น คาดว่าจากประสบการณ์ที่รัฐบาลเคยเผชิญก่อนหน้านี้ คราวนี้คงจะรอบคอบขึ้น เนื่องจากเราต้องยอมรับว่า รถกระบะยังคงเป็นความต้องการพื้นฐานของประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด อีกอย่างคือ เมื่อซื้อรถแล้วประชาชนมักจะนำไปจดทะเบียนเป็นรถในหมวดขนส่งเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีการเสียภาษีที่ถูกกว่า หลายครอบครัวอาจต้องการซื้อรถสี่ประตู แต่สี่ประตูภาษีนั้นแพงกว่า นับเป็น 15% ซึ่งในทางตรงกันข้าม รถแค็บภาษีนั้นนับเป็น 4% เท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่จึงเลือกรถแค็บเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีส่วนนี้
ซึ่งรถแค็บเองก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาไว้ขนของโดยเฉพาะ แต่ก็อาจจะอนุโลมให้เป็นรถอเนกประสงค์ได้ และในส่วนตัวถังก็ไม่ได้ออกแบบมาให้สามารถติดตั้งเข็มขัดนิรภัยได้เช่นกัน แม้จะติดตั้ง แต่มันก็จะไม่เซฟตัวผู้ใช้ได้อย่างที่ควร ล่าสุด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกข้ออนุโลมมา ให้นั่งในส่วนพื้นที่แค็บได้ไม่เกิน 3 คนเท่านั้น แต่ขอความร่วมมือให้ลดความเร็วลงด้วย โดยส่วนตัวคิดว่า ทางรัฐน่าจะใช้ทิศทางนี้ กำหนดข้อบังคับในวันที่ 5 ก.ย. 65
ในส่วนของรถเก่า รถวินเทจ นพ. ธนะพงศ์ กล่าวว่า จะต้องดูใน 2 กรณี อย่างเช่น รถเก่าที่ว่านั้นเป็นรถปีไหน เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายนั้นจะนับต่อปีที่จดทะเบียนรถ ไม่ใช่ปีของรถ คือถ้าซื้อรถเก่ามาใหม่ แล้วมีการจดทะเบียนหลังจากกฎหมายออกมาแล้ว ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าเป็นรถเก่าที่ใช้ขับมานาน มีจดทะเบียนซื้อรถก่อนตัวกฎหมายนี้จะออก ทางรัฐก็อนุโลมให้ได้
ส่วนของคาร์ซีท ที่ประชาชนกังวลในเรื่องของราคา นพ. ธนะพงศ์ กล่าวว่า ทางรัฐบาลมีนโยบายให้ภาษีนำเข้าคาร์ซีทเป็นศูนย์ นับตั้งแต่ประกาศใช้กฎหมายใน 1 เดือนที่แล้ว จนถึง 31 ธ.ค. 2566 และจะเริ่มมาเก็บภาษีอีกรอบในวันที่ 1 ม.ค. 2567 ราคาในช่วงนี้จึงจะไม่สูงมากนัก ตนคิดว่า คาร์ซีทที่ราคาหลัก 3,000 ถึง 4,000 มีอยู่พอที่ให้ประชาชนจับต้องได้ และเมื่อเด็กโตขึ้นอีกวัยหนึ่ง ก็สามารถขยับมานั่งตัวบูสเตอร์ซีทได้ และยังมีตัวที่ราคาต่ำลงมาจากคาร์ซีททั่วไปอีกด้วย แต่จะดีมาก ๆ ถ้าหากรัฐยื่นมือเข้ามาช่วยหนุนกลไกราคา ในการทำอย่างไรให้ตัวสินค้าเหล่านี้ลดราคาลงได้อีก
ด้านความคืบหน้าของการเริ่มบังคับใช้กฎหมายต่อประชาชนทั่วไป นพ. ธนะพงศ์ มองว่า อยากผลักดันให้ทางรายการเชิญสำนักงานตำรวจแห่งมาร่วมพูดคุยถึงประเด็นต่าง ๆ พร้อมทั้งคอยรับความความคิดเห็นของประชาชนร่วมด้วย จะเป็นประโยชน์มาก ๆ และจะได้ไขข้อสงสัยต่าง ๆ ได้ละเอียด ถูกต้อง แม่นยำยิ่งขึ้นไปอีก
ติดตาม รายการ “เงินทองของจริง” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.05-9.15 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และ ติดตามการออกอากาศแบบสด ผ่านไลฟ์บนช่องทางออนไลน์ ทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป