สิงคโปร์ เตรียมยกเลิกกฎหมายห้ามชายกับชายมีเพศสัมพันธ์กัน แต่ยังกีดกันสมรสเพศเดียวกัน

         นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เตรียมยกเลิกกฎหมายห้ามชายมีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน แต่ยังไม่เปลี่ยนกฎหมายของการแต่งงาน ยังคงอนุญาตให้แต่งงานได้เฉพาะระหว่างชายกับหญิงเท่านั้น

 

         วันที่ 22 ส.ค. 65 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายกรัฐมนตรี “ลี เซียนลุง” แห่งสิงคโปร์ กล่าวเมื่อวานนี้ (21 ส.ค. 65) ว่า สิงคโปร์เตรียมยกเลิกกฎหมายห้ามชายมีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน โดยเสริมว่าสังคมในเมืองนี้เริ่มยอมรับคนรักร่วมเพศมากขึ้น แต่รัฐบาลยังไม่เปลี่ยนกฎหมายของการแต่งงาน ยังคงอนุญาตให้แต่งงานได้เฉพาะระหว่างชายกับหญิงเท่านั้น

 

          โดยนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง กล่าวในวันชาติสิงคโปร์ว่า ฉันเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ และเป็นสิ่งที่ชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่ยอมรับในตอนนี้ และเสริมว่ารัฐบาลจะยกเลิกมาตรา 377A แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายตั้งแต่ยุคอาณานิคม และเป็นกฎหมายในยุคที่กีดกันการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชาย แม้เราจะยกเลิกมาตรา 377A แต่เราจะยังสนับสนุนและปกป้องสถาบันการสมรสภายใต้กฎหมาย มีเพียงการแต่งงานระหว่างผู้ชาย 1 คน กับผู้หญิง 1 คนเท่านั้น ที่ได้รับการยอมรับในสิงคโปร์เท่านั้น

 

           ตามกฎหมายอาญามาตรา 377A ของสิงคโปร์กำหนดระวางโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี สำหรับการมีเพศสัมพันธ์กันระหว่างชายและชาย ทว่าไม่ได้มีการบังคับใช้จริงมานานหลาย 10 ปีแล้ว อีกทั้งกฎหมายนี้ก็ไม่ได้ครอบคลุมถึงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง หรือเพศทางเลือกอื่นๆ

 

           ทางองค์กรเพื่อสิทธิ LGBTQ หลายกลุ่มได้ออกคำแถลงร่วมเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า รู้สึกโล่งใจกับคำประกาศของนายกฯ

 

         ด้านกลุ่มศาสนาบางกลุ่ม รวมทั้งชาวมุสลิม คาทอลิก และโปรเตสแตนต์บางคนยังคงต่อต้านการยกเลิกกฎหมาย และพันธมิตรของโบสถ์มากกว่า 80 แห่ง แสดงความผิดหวังอย่างมากกับการตัดสินใจของรัฐบาล โดยแถลงว่า “การยกเลิกถือเป็นการตัดสินใจที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวัฒนธรรมที่ลูกหลานของเรา และคนสิงคโปร์รุ่นต่อไปจะอาศัยอยู่ในภายภาคหน้า”

 

          ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ย้ำว่า รัฐบาลสิงคโปร์ยังคงสนับสนุนการแต่งงานแบบดังเดิมต่อไปว่า “เราเชื่อว่าการแต่งงานควรเป็นระหว่างชายและหญิง เด็กควรได้รับการเลี้ยงดูภายในครอบครัวดังกล่าว ครอบครัวตามประเพณีควรเป็นรากฐานของสังคม” และยังไม่ชัดเจนว่า มาตรา 377A จะถูกยกเลิกเมื่อใด