อัจฉริยะ ร้อง ตร.ไซเบอร์ เอาผิดอาหารเสริมลดหุ่น ชวนลงทุน 6 พัน 3 เดือน รวยเละ 15 ล้าน!

จากประเด็นดรามาในโลกออนไลน์ ของบริษัทฯอาหารเสริมลดหุ่น แบรนด์ดัง ออกมาชวนลงทุน อ้าง ลงทุน 6 พัน 3 เดือน กำไร 15 ล้าน ล่าสุด "อัจฉริยะ" ร้องต่อตำรวจไซเบอร์ ให้ตรวจสอบ หวั่นหลอกลวง ปชช. เพราะงบการเงินกับโฆษณาขัดแย้งกัน      

 

 

 

            วันที่ 22 ส.ค. 65 อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ ข่าวเย็นประเด็นร้อน ในช่วง "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า เคสนี้ แม้จะยังไม่มีผู้เสียหาย ตนก็ไม่อยากปล่อยบริษัทฯ เหล่านี้ไว้ในสังคม เพราะมันจะทำให้หลงเชื่อได้ ต่อไปก็จะมีเหยื่อจำนวนมากเข้าไปติดกับดัก ตนอยากตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ทั้งนี้เราจับตามองมานานแล้ว เนื่องจากมีพฤติกรรมการโพสต์โชว์ความร่ำรวยลงสื่อโซเชียลออนไลน์ ของคนในครอบครัวนี้ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ พร้อมทั้งชักชวนให้มาลงทุนด้วยเงินน้อย ก็จะรวยเป็นเศรษฐีได้ ตนมองว่ากลยุทธ์เหล่านี้ เล่นกับความโลภของคน ลักษณะจึงคล้ายกับแชร์ลูกโซ่  

 

"ตนต้องการเตือนให้เห็นว่า หน้าม้าหรือแม่ทีม พวกนี้พฤติกรรมมันไม่ต่างกัน เหมือน Forex-3D เหมือนแชร์ลูกโซ่ทั่วไป จะเป็นลักษณะแบบนี้แทบทั้งนั้น" อัจฉริยะ กล่าว 

 

 

 

            กรณีล่าสุดมีตัวแทนออกมาโพสต์ ลงทุน 6 พันบาท ทำงาน 3 เดือน ได้กำไร 15 ล้าน ขณะที่บริษัทฯอาหารเสริมดังกล่าว ปี 60 มีกำไร 611 บาท ปี 61 กำไร 4.5 แสนบาท ปี 62 กำไร 4.7 แสนบาท ปี 63 กำไร 1.3 ล้านบาท ปี 64 กำไร 8 ล้านบาท ซึ่งมันขัดแย้งกัน ตัวแทนจะมีกำไรมากกว่าเจ้าของบริษัทฯได้อย่างไร ตนมองว่ามันเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งตัวเขากับครอบครัว มีรถหรู 4 คัน มูลค่ากว่า 40 ล้าน และยังบอกอีกว่ามี เพนท์เฮ้าส์ มูลค่า 100 ล้าน รวมทั้งอื่น ๆ ตนตีรวมกันประมาณ 200 ล้านบาท ตนจึงตั้งข้อสงสัยว่าเขาเอาเงินมาจากไหนมาซื้อสิ่งเหล่านี้ ทั้งที่กำไรจากบริษัทฯ มันไม่สอดคล้องกัน แม้เขาจะมีบริษัทฯ เสริมความงามอีกแห่ง แต่ก็มีกำไรแค่ 5.6 ล้าน      

 

            ทั้งนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างดำเนินคดี ตั้งแต่ ต.ค. 64 ในเรื่องของใช้สาร "ไซบูทรามีน" ซึ่งเป็นสารอันตราย ต้องห้ามในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ซึ่งเขาก็เอาสินค้าที่สารพวกนี้มาขาย ตนจึงปล่อยไม่ได้ หากปล่อยไว้ประชาชนผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบ ทั้งความอันตราย และโอกาสการเสียเงิน    

 

 

 

            อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ปล่อยให้มันมีเครือข่ายขึ้นมากมาย สุดท้ายเขาไปต่อไม่ได้ คนที่รวยก็คือเจ้าของบริษัทฯ แถมไม่ต้องมารับผิดชอบ เพราะเขาถือว่า คุณซื้อของเขาไปและขายไม่ได้เอง ทั้งนี้ตนต้องการให้ ตำรวจ ดำเนินการกับกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ และผู้เกี่ยวข้อง หน้าม้าต่าง ฐานความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และฉ้อโกงประชาชน และถ้าหากสืบทราบว่ามีการฟอกเงิน ก็อยากให้ดำเนินคดีด้วย ส่วนในประเด็นของหน้าม้า ที่ถูกจับตามอง เรื่องที่เซลฟี่กับรถหรู และบอกว่าจะซื้อรถ สุดท้ายถูกประชาชนจี้ จนได้ความว่าไม่ได้ซื้อ มาถ่ายรูปเฉย ๆ เป็นคอนเทนต์ ขนาดเรื่องรถยังทำเป็นคอนเทนต์ แล้วเรื่องกำไร 15 ล้าน จะจริงได้ยังไง 

 

 

            ด้าน พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ เที่ยงกมล รองผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 (บช.สอท.) เผยว่า ธุรกิจแบบนี้ มีค่อนข้างเยอะในโลกออกไลน์ โดยมีลักษณะ สร้างเรื่องขึ้นมา ให้ร่วมลงทุน ในรูปแบบต่าง ๆ โดยเอาผลกำไรจำนวนสูงเป็นสิ่งจูงใจให้คนมาลงทุน ส่วนตอนนี้ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. ได้มีคำสั่งให้เร่งรัดดำเนินการหาข้อเท็จจริงโดยละเอียด ว่าเป็นบริษัทฯที่ได้รับอณุญาตให้ขายตรงหรือไม่ มีสินค้าจริงไหม มีการทำธุรกิจแล้วแบ่งปันกำไรได้เป็นรูปธรรมหรือไม่ แล้วการที่มีข้อความดังกล่าว เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ เป็นการหลอกโฆษณา ชักจูงประชาชนให้หลงเชื่อ มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนอย่างไร ซึ่งมันก็อาจจะเข้าข่าย ทั้งนี้ใช้เวลาดำเนินการไม่นาน รอการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  

 

            ส่วนกรณีเด็กหน้าม้า จะถูกดำเนินคดีด้วยไหม ต้องดูว่า ข้อเท็จจริง ที่เขาสร้างภาพขึ้นมา ว่าตนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ของการทำธุรกิจแล้วมีกำไรมากมายมหาศาล ถ้าตนเองพึงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็เข้าข่ายที่จะโดนดำเนินคดี    

 

 

"งานง่ายแล้วกำไรมาก มันไม่มีอยู่บนโลกออนไลน์หรอกครับ" พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าว  

 

            ขณะเดียวกัน ทีมงาน "ถกไม่เถียง" ได้ติดต่อบริษัทฯดังกล่าวไปแล้วตลอดทังวัน โดย มีความตั้งใจจะเปิดพื้นที่ ให้เจ้าของธุรกิจนี้ชี้แจงถึงประเด็นข้อกังขาต่าง ๆ เพื่อคลายความแคลงใจของสังคม โดยทีมงานได้พยายามติดต่อไปยังคนใกล้ชิดของ เจ้าของบริษัทฯ รายนี้ไม่ว่าจะเป็นมือขวา หรือแม้แต่จะทักแชทเฟซบุ๊ก ไลน์ข้อความไป มีการกดอ่าน แต่ไม่มีการตอบกลับใดๆ ซึ่งทีมงานก็ได้ติดต่อไปยังเบอร์ของบริษัท โดยมีเจ้าหน้าที่รับสายแจ้งว่า ตอนนี้อยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูลหลักฐาน จึงยังไม่สามารถให้ข้อมูลกับนักข่าวได้ หากได้ข้อสรุปจากที่ประชุมอย่างไรจะมีการแจ้งให้ทราบในภายหลัง