ครอบครัวเหยื่อ ‘เมาท์เทนบี’ เผยรับเพียงเศษเงินเยียวยา เชื่ออีกไม่ช้าเรื่องเงียบ!

ทนายรณณรงค์ พาครอบครัวเหยื่อเหตุการณ์ไฟไหม้ "เมาท์เทนบี" ร้องเรียนต่อสื่อ เผยผู้เสียหายได้รับการเยียวยาไม่เป็นธรรม หวั่นเรื่องเงียบ เกี่ยวโยงผู้มีอิทธิพล 

 

             วันที่  15 ส.ค. 65 อัจฉรา นีน้อย แม่ของผู้เสียชีวิต ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ ข่าวเย็นประเด็นร้อน "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7 HD กด35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ ไม่มีใครจากเมาท์เทนบีติดต่อเข้ามาเลย จนกระแสโจมตีฝั่งเขา เขาเลยติดต่อเข้ามา มาเยียวยาที่งานศพลูกชาย 5 หมื่นบาท กับพวงหรีดอีก 1 พวง แค่นั้น วันสวด วันเผา เขาก็ไม่ได้มา  โดยเป็นเจ้าหน้าที่ของทางร้านเป็นคนดำเนินการ ไม่ใช่เจ้าของร้าน ส่วนลูกสะใภ้ก็บาดเจ็บอยู่ รักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาก็เยียวยามาแค่ 1 หมื่นบาท ตอนนี้อาการดีขึ้น เริ่มพูดคุยได้ แต่ยังต้องขูดแผลอยู่

 

 

             ขณะที่เรื่องเจ้าของตัวจริง ตนไม่ทราบว่าเป็นพ่อของเสี่ยบีหรือเปล่า ตนเป็นคนในพื้น ก็พอมีข้อมูล แต่ไม่สามารถพูดได้ เพราะไม่ได้รู้ลึก แต่ส่วนใหญ่คนในพื้นที่จะรู้กัน ทั้งนี้ อยากให้เขาเยียวยามากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ 5 หมื่น เป็นไปได้ก็อยากให้ลูกยังมีชีวิตอยู่     

 

             ด้าน นิตยา นีน้อย น้องสาวผู้เสียชีวิต เล่าว่า  สื่อบางสำนัก ออกข่าวไปว่าพี่ชายของตนไปฉลองวันเกิดกันที่นั่น ทำให้ร้านต้องเปิดต่อ ซึ่งจริง ๆ เขาฉลองกันที่บ้านก่อน เสร็จแล้วจึงไปสังสรรค์ต่อที่เมาท์เทนบี ออกจากบ้านไปก็ประมาณเที่ยงคืนแล้ว ซึ่งพี่ชายตนเขาก็นั่งในส่วนข้าวนอกก่อนที่จะเข้าไปใสโซนข้างใน เพราะโซนข้างนอกกำลังจะปิดแล้ว เขาไม่ได้ไปขอให้ต่อเวลาเพิ่ม   

 

 

             ตนเห็นการสัมภาษณ์คนหนึ่ง เขาบอกว่า ที่นี่ปิดเที่ยงคืน แต่วันเกิดเหตุมีการจัดงานวันเกิด จึงเปิดยาวนานขึ้น ซึ่งมันเหมือนโบ้ยให้คนตายเป็นคนผิด แต่คนแถวนั้นรู้อยู่แล้วว่าปกติมันปิดกี่โมง ถ้าวันธรรมประมาณ 02.00 น. ถ้าศุกร์-เสาร์ก็จะยาวนานหน่อย ประมาณ 04.00 น. ตนพูดจากประสบการณ์ที่เคยไปด้วย   

 

 

             อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้ทางร้าน อย่างน้อยรับผิดชอบติดต่อกลับมาบ้างก็ยังดี ไม่ใช่ให้เงินแล้วก็หายไปเลย เพราะวันที่เขาเอาเงินเยียวมาให้ที่งานศพ ตนได้สอบถามไปแล้วว่าเมาท์เทนบีจะเป็นเจ้าภาพงานศพไหม แต่ตนก็เข้าใจว่าคนที่ดำเนินการตอนนั้นเป็นแค่กัปตันของร้าน คงไม่มีอำนาจการตัดสินใจ เลยบอกให้เขาไปคุยกันก่อน ซึ่งเขาก็เงียบหายไป ตอนนี้ตนก็หวั่นเรื่องจะเงียบ  

 

             ขณะที่ รุ่งอรุณ แซ่จัง แฟนของผู้บาดเจ็บ เผยว่า  ตอนนี้แฟนสาวอาการดีขึ้น รับรู้แล้ว แต่ยังถอดเครื่องช่วยหายใจไม่ได้ โดยมีแผลไหม้ทั้งหมดประมาณ 60% ของร่างกาย และตอนนี้เขาอยู่ในห้องปลอดเชื้อ จึงไม่สามารถเข้าไปเฝ้าหรือเจอกันได้ 

 

 

             ส่วนการเยียวยา เขาเยียวยามา 2 รอบ รอบแรก 1 หมื่น รอบที่สอง 2 หมื่น แต่การเยียวยาของตน ตนต้องเป็นคนโทรตามเองตลอด ถ้าเราไม่ติดตาม โทรหาเอง เขาก็ไม่ได้ติดต่อมาเลย รวมทั้งครั้งแรกที่เขาให้เงินเยียวยา เขาก็ไม่ได้เอาเงินมาให้เอง ให้ตนไปเอาที่ สภ.พลูตาหลวง ทำเหมือนตนไปขอเงินเขา ถ้าเขาจะเยียวยาจริง เขาต้องมาหาเรา

 

             ตอนนี้ตนกลัวแฟนสาว จะกลับมาใช้มืออีกไม่ได้ทั้ง  2 ข้าง ข้างขวาไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ส่วนอีกข้างต้องดูว่าจะสามารถใช้ได้ไหม โดยแฟนของตนทำงานเป็นแม่ครัว ต่อจากนี้ก็คงเป็นตน กับแม่แฟน เป็นคนดูแล จึงอยากให้เขาเยียวยามามากกว่านี้ ในส่วนของการกลับมาใช้ชีวิตหลังการรักษา เพราะเขาอาจจะไม่สามารถทำงานได้   

 

             อย่างไรก็ตาม แม่ของไอซ์ กับ แม่ของลูกปลา บอกกับตนว่า เขาได้ยินทนายพูดว่า "ถ้าอยากได้ รวมตัวไปฟ้องทนายเอาเอง" 

 

             ด้าน กัญญารัตน์ งามดี แม่ของผู้บาดเจ็บ เล่าว่า ลูกชายของตนเป็นพนักงานดับเพลิง วันที่เกิดเหตุลูกชายของตนออกมาได้แล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่เขามีจิตใจที่จะช่วยเหลือสังคม หลังจากเขาพาแฟนขึ้นรถพยาบาลได้แล้ว เพื่อน ๆ ก็บอกให้เขาไปหาหมอเหมือนกัน แต่เขาไม่ไป เขาทยอยช่วยคนบาดเจ็บคนอื่นอยู่ และรู้สึกว่าจะมาโดนระเบิดลูกหลัง เลยอาการหนัก ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ น้ำท่วมปอด ต้องดูอาการชั่วโมงต่อชั่วโมง มีแผลไฟไหม้ 90% ของร่างกาย  

 

 

             เจ้าของร้านก็ไม่ได้มาเยียวยาเลย ที่ได้เงินเยียวยามา 1 หมื่นบาท ก็เพราะบังเอิญไปเจอกันที่ สภ.พลูตาหลวง เมื่อวานตนติดต่อเขาไป ว่าลูกตนอาการหนัก จะเงียบแบบนี้หรอ ช่วงค่ำเขาจึงโอนเงินมาให้ 2 หมื่นบาท ถ้าไม่บอกว่าลูกตนหนัก เขาก็คงเฉยไปเลย ตอนนี้ตนกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม ยังไม่รู้ว่าจะได้การเยียวยาตรงส่วนไหน และกลัวประเด็นที่เขาพูดกันว่า อยากได้เงิน ให้ไปฟ้องกันเอง เพราะตนก็อายุเยอะ ลูกหายออกมาก็ไม่รู้จะดูแลแม่ได้ไหม ใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้แค่ไหน   

 

             ขณะเดียวกัน รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เผยว่า ตนไปร้องกับกองปราบฯ เพราะอยากให้เขาทำเคสนี้แทน เนื่องจากในพื้นที่ผับเป็นพื้นที่ใกล้กับกองทัพเรือ และโรงพัก สถานบันเทิงมันไม่สามารถเปิดได้หรอก หากไม่มีคนมีสีอยู่ข้างหลัง ทั้งนี้ตำรวจลงพื้นที่ไปหลายรอบ แต่ก็ยังเปิดได้ รวมทั้งเทศบาลก็ไม่รู้เลยว่ามีการก่อสร้าง ทั้งที่มีการตรวจค้นตลอด ดังนั้นจึงเป็นประเด็นว่าถ้าให้ตำรวจในพื้นที่ทำมันจะเจอเจ้าของตัวจริงไหม อีกทั้งการทำผับร้านเหล้ามันจะต้องมีหุ้นส่วน จึงต้องดำเนินคดี ขยายผลไปถึงหุ้นส่วนเจ้าของผับที่แท้จริงให้ได้ นอกจากนี้ตนไม่คิดว่า เสี่ยบี อายุ 27 จะไปมีความสามารถรับผิดชอบคนได้หรอ และเด็ก 27 จะไปเปิดผับในพื้นที่ใกล้กับกลุ่มผู้มีอิทธิพลได้อย่างไร ต้องมีคนหนุนหลัง 

 

 

             ทั้งนี้ ที่ตนออกมาช่วย เพราะว่าตลอดช่วงที่ผ่านมา 2 สัปดาห์เขาดูแลกันเองมาตลอด ไม่มีใครมายื่นมือมาช่วย ให้เขารู้สึกว่าไม่ต้องมาจ่ายเงินเองเลย ตนรับไม่ได้ที่ข้าราชการ คนมีสี ที่มีส่วนเกี่ยวของให้ผับนี้เปิดได้ หายไปไหนหมด ไม่มีความรับผิดชอบ ถ้าปล่อยให้เคสนี้เงียบไป วันข้างหน้าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็จะจบแบบนี้อีก กฎหมายก็ไม่ได้แก้ ยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด    

 

             ส่วนกรณีการเยียวยา เขาก็ควรออกมารับผิดชอบมากกว่านี้ คร่าว ๆ คนที่เสียชีวิต ไม่ควรต่ำกว่า 5 ล้านบาท ดูจากอายุการทำงาน และบางคนมีลูกด้วย คนที่บาดเจ็บก็ไม่ควรต่ำกว่า 5 ล้านบาท ค่ารักษาพยาบาลสัปดาห์หนึ่งถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนก็เป็นล้านแล้ว ของรัฐบาลก็หลักแสน หากกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ก็ต้องทำศัลยกรรมอีก ดังนั้นจ่ายมาแค่ 3 หมื่น มันไกลมากที่จะให้เขากลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิมได้ หลังจากออกหมายจับเจ้าของผับตัวจริงแล้ว จะมาประเมินสถานการณ์ว่าจะขยับตรงไหนบ้าง