พ่อร้องสื่อ ดีเจชื่อดังกระทืบลูกฟันหัก คดีไม่คืบ สุดงง ดีเจถาม “ลูกคุณใช้หน้าตาทำงานไหม?”

พ่อร้องผ่านสื่อ ลูกชายออกเที่ยวผับ ถูกดีเจดังกระทืบ ฟันหัก 2 ซี่ ผู้ก่อเหตุลั่น ทนไม่ได้ ถูกคุกคามทางเพศ ผู้เสียหายเผย ตนไม่ใช่เกย์ พร้อมดำเนินคดีถึงที่สุด 

 

 

            วันที่ 12 ส.ค. 65 หนึ่ง (นามสมมติ) ลูกชาย ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ ข่าวเย็นประเด็นร้อน ในช่วง "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7 HD กด35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า ตนไปดื่มกินสังสรรค์ ที่ผับแห่งหนึ่ง ตอนที่กำลังจะกลับบ้านตนก็ไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว ระหว่างที่กำลังปัสสาวะ ตัวผู้ก่อเหตุเขายืนปัสสาวะถัดจากตน ตนก็ยืนฉี่ปกติ มีการหันซ้ายหันขวาบ้างตามปกติ หลังจากนั้น ตัวผู้ก่อเหตุเขาก็เดินออกไปก่อน ตนทำธุระเสร็จก็เดินออกจากห้องน้ำ ผู้ก่อเหตุเขาเห็นเพื่อนของเขากำลังจะเดินมาเข้าห้องน้ำ เขาก็หันมาชี้หน้า แล้วก็ทำร้ายตนเลย 

 

            เขาทำร้ายตนจนล้มลง และต่อยใส่ไม่ยั้ง ตอนที่ตนล้ม ตนยกมือไหว้ วอนขอให้เขาหยุด อยู่หลายรอบ แต่เขาก็ไม่หยุด กระทืบตนเข้าที่หน้า แถมยังถอดรองเท้ามาตบหน้าตนอยู่หลายครั้ง ส่วนเพื่อนของเขาก็ไม่ได้ทำการห้ามหรืออะไร คอยยืนคุมเชิงไม่ให้ตนตอบโต้ ตนก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่เขาทำตนมันคืออะไร เพราะเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แถมตนกับเขาก็กินดื่มกันคนละร้าน    

 

 

            หลังจากที่ตนหนีออกมาได้ ตนเห็นว่าเลือดไหลเต็มทางเดิน จึงรีบเดินทางไป รพ.เกษมราษฎร์ ประชาชื่น และออกไปแจ้งความที่ สน.หัวหมาก ซึ่งอาการบาดเจ็บของตนตอนนี้มี ฟันหน้าหัก 2 ซี่ และฟันด้านข้างต้องรอการรักษารากเทียม และต้องรอดูว่าระบบของฟันมันเชื่อมกับระบบประสาทหรือเปล่า แล้วก็มีพูดจาไม่ชัด พูดลำบาก รวมทั้งอาการปวดศีรษะ คุณหมอบอกว่าระยะเวลาการรักษาอาจใช้เวลาถึง 7-8 เดือน    

 

            ด้าน วิษณุ ไทยเจริญพร พ่อของผู้บาดเจ็บ เผย สิ่งที่ตนรับไม่ได้ คือลูกชายของตนยกมือไหว้ขอโทษแล้ว แต่เขาก็ยังทำต่อไม่หยุด และจากหลักฐานที่ตำรวจส่งมาให้ ตัวผู้ก่อเหตุหลังจากทำร้ายเสร็จแล้ว เขาก็ยังกลับไปนั่งกินดื่มต่อได้ ตนว่าคนแบบนี้แปลก ทั้งนี้จากการสอบสวน ตำรวจแจ้งว่าตัวผู้ก่อเหตุเป็นดีเจ

 

 

            ตั้งแต่เกิดเหตุ เขาก็ยังไม่เคยติดต่อเข้ามา จนกระทั่งเป็นข่าว ดีเจผู้ก่อเหตุ ได้ติดต่อมาทางลูกชาย แต่ลูกชายไม่ขอคุย เพราะเป็นผู้ถูกกระทำ จึงให้คุยกับคุณแม่ เขาก็ขอโทษขอขมา เหตุผลที่เขาทำต่าง ๆ นา ๆ ตนคิดว่าที่เขาโทรมา เพราะหลักฐานของตำรวจมันชี้ไปที่เขา หากเขาสำนึกจริงมันไม่ควรเป็นในรูปแบบนี้ นอกจากนี้เขายังถามกับคุณแม่ว่า ลูกทำงานอะไร ใช้หน้าตาทำงานไหม ตนก็ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ เขาถามทำไม   

 

"หากคุณมีความสำนึกผิดจริง วันที่ 8  เดือน 7 ทำไมคุณไม่ไปที่ สน. ด้วยตัวเองคุณเอง" คุณ วิษณุ กล่าว 

 

            อย่างไรก็ตาม ตัวผู้ก่อเหตุ ออกมาเผยถึงเหตุผลที่กระทำดังกล่าวว่า ระหว่างที่ปัสสาวะ น้องเขามองตนปัสสาวะบ่อย และเกิดมีปากเสียงกัน เลยเข้าไปบันดาลโทสะ และที่ตนเข้าไปทำแบบนั้นเพราะ ตนรับไม่ได้กับเรื่อง Sexual Harrassment หรือการคุกคามทางเพศ และมองว่าตนเป็นผู้ถูกกระทำ เลยต้องปกป้องตัวเอง  

 

 

            หนึ่ง (นามสมมติ) กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอยืนยันว่าตนไม่ได้มองเขาปัสสาวะ และตนไม่ได้เป็นเกย์ ยังคงชอบผู้หญิง และไม่ได้รู้จักไม่เคยมีเรื่องกับเขามาก่อน  

 

            วิษณุ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนไม่เข้าใจในเหตุผลของเขา เพราะผู้ชายเวลาปัสสาวะก็ยืนข้างกันหมด และตาก็ต้องมองไปข้างซ้ายข้างขวาบ้าง รูดซิปอะไรก็ว่าไป ไม่ว่าประเทศไหนก็เป็นแบบนี้หมด อีกทั้ง ห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำสาธารณะ ทุกคนเขาใช้กันหมด แต่ถ้ามีคนแบบนี้อยู่ มันไม่ปลอดภัยแน่นอน ทั้งนี้ ตนอยากดำเนินคดีให้มันเป็นไปตามกฎหมาย ทั้งอาญา และแพ่ง และจะไม่มีทางยอมความแน่นอน 

  

 

            ฟาก พ.ต.ท.นพดล โพธิ์ศรี รอง ผกก.(สอบสวน) สน.หัวหมาก เผยว่า ผู้ก่อเหตุติดต่อมาว่า สัปดาห์หน้าจะเข้ามามอบตัว และประสานให้เขาคุยกับทางผู้เสียหาย โดยเบื้องต้น แจ้งข้อหา มาตรา 295 ทำร้ายร่างกาย ที่เหลือต้องรอใบชันสูตรบาดแผล และสอบปากคำจากหมอ ว่าแผลประมาณนี้ จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างไรบ้าง 

 

 

            ขณะที่ ทนายสงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ให้ความเห็นว่า ตนคิดว่าตัวผู้ก่อเหตุเขาได้ปรึกษากับทนายแล้ว เพราะคำว่า "บันดาลโทสะ" เป็นศัพท์ของนักกฎหมาย โดยเขาจะอ้างเหตุบันดาลโทสะ เพื่อขอให้ศาลฯ ลดโทษ แต่ถ้าเท่าที่ฟังจากที่ผู้เสียหายเล่ามา การยืนปัสสาวะเรียงกัน มันเป็นเรื่องปกติอยู่ เว้นแต่ผู้เสียหาย จะเจาะจงเข้าไปดูอวัยวะเพศเขา หลักฐานที่เขามองก็ไม่มี 

 

            ทั้งนี้ ต้องดำเนินคดีฐาน ทำร้ายร่างกาย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297 เพราะรักษาก็เกิน 20 วันแล้ว จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 1 หมื่น ถึง 2 แสนบาท และเป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความได้ และให้ผู้เสียหายเร่งตำรวจ ให้เร่งดำเนินคดี พออัยการนำตัวมาฟ้องต่อศาลฯ ไปเขียนคำร้อง ตามป.วิอาญา มาตรา 44/1 ขอให้ศาลฯมีคำพิพากษาในส่วนแพ่งไปกับคดีอาญาได้เลย ไม่ต้องฟ้องใหม่ ส่วนเรื่องที่เขาถามถึงหน้าตาผู้เสีนหายใช้ทำงานหรือไม่ ตนมองว่าเขาหัวหมอ เพราะจะจ่ายค่าเสียหายน้อยเนื่องจากไม่ได้ใช้หน้าตาทำงาน