หนุ่มอนาคตไกล ถูกกระบะซิ่งชน ชีวิตพัง พิการ คู่กรณีไม่แยแส ตร.ลั่นไม่ว่าง ดำนาอยู่!

ผู้เสียหายร้องเรียนกับรายการ "ถกไม่เถียง" หลังถูกกระบะ 2 คัน ซิ่งไถลข้ามเลนมาชน จนต้องกลายเป็นผู้พิการ ขอข้าววัดกิน คู่กรณีไร้การเยียวยา ผ่านมา 4 เดือน คดีไม่คืบ ตร.บอก ไม่ว่าง ดำนาอยู่     

 

             วันที่ 9 ส.ค. 65 วรพงษ์ ศรีลาปาว (เต้ย) ผู้บาดเจ็บ ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการ ข่าวเย็นประเด็นร้อน ในช่วง "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า วันที่เกิดเหตุ ตนขับรถจักรยานยนต์ไปกับแฟน จะไปทำสวน ซึ่งก็ขับปกติ ประมาณไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถนนบริเวณนั้นเป็นถนน 2 เลน ระหว่างขับอยู่ก็มีรถกระบะคันหนึ่งขับแซงตนไปจากข้างหลัง ขับเร็วมาก ตนก็คุยกับแฟนว่ากระบะคันนี้ ขับเร็วจัง เดี๋ยวก็คงเกิดอุบัติเหตุ แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ คันที่แซงตนไป ไปเฉี่ยวกับรถกระบะสีดำฝั่งตรงข้าม ที่เขาก็ขับแซงกันมาเหมือนกัน ทำให้กระบะสีดำที่ถูกเฉี่ยว ก็ไปเกี่ยวกับรถกระบะสีขาว เขาก็เลยไถลมาตัดหน้ารถตน ทั้ง 2 คน จนเกิดอุบัติเหตุขึ้น หลังจากเกิดเหตุตนยังได้สติอยู่ คนแถวนั้นเขาก็มาช่วยตน      

 

 

             อาการบาดเจ็บมี ขาข้างซ้ายหักไป 1 ท่อน ขาข้างขวาหักบริเวณหัวเข่า และมีตรงสะโพกด้วย และที่ขายังต้องดามเหล็กทั้ง 2 ข้าง ตอนนี้ก็ไม่สามารถเดินได้ ไม่สามารถลงน้ำหนักได้ เพราะมันเจ็บ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ขนาดไปเข้าห้องน้ำเองยังทำไม่ได้ ส่วนแฟนที่นั่งไปด้วย ไม่ได้เป็นอะไรมาก มีเย็บที่ข้อเท้า และแผลถลอกนิดหน่อย หมอบอกว่าต้องใช้เวลารักษา 6-9 เดือน ถึงจะทำกายภาพได้ ต้องรอให้กระดูกมันสมานกัน แต่ถ้าจะให้กลับมาเดินได้เลย ต้องใช้เวลาอีก 3-4 ปี แต่ถึงแม้จะกลับมาเดินได้ ก็ไม่รู้ว่าจะใช้งานหนักได้เหมือนเดิมรึเปล่า ส่วนเรื่องค่ารักษา ทางครอบครัวเป็นคนออกเองทั้งหมด       

 

 

             ในเรื่องของการเยียวยานั้น กระบะคู่กรณีคันสีขาว เขาเยียวมามาเบื้องต้น 2 หมื่นบาท แต่หลังจากนั้นก็ติดต่อไม่ได้ โทรติด แต่เขาไม่รับสาย แต่คันสีดำเขาบอกว่าไม่มีเงิน และเงียบหายไป  

 

             ด้าน นัทธพงศ์ ศรีลาปาว พี่ชายผู้บาดเจ็บ เผยว่า หลังจากเกิดเหตุ ตนก็รีบไปที่เกิดเหตุ พอไปถึง ก็เจอคู่กรณีกระบะคันสีขาว แต่ไม่เห็นคู่กรณีะคันสีดำ ตัวรถยังอยู่ แต่คนขับไม่อยู่แล้ว ซึ่งคนในรถคันสีดำ เขาบอกว่าดื่มเหล้ากันมาก่อนหน้านี้ และเห็นขวดเหล้าด้วย ตอนไปแจ้งความก็ยังไม่เจอตัวคนขับกระบะคันสีดำ มาเจอตอนที่ตำรวจตามมาทีหลัง มาคุยตกลงกัน พอได้คุยแล้ว เขาก็บอกแต่ว่าเขาไม่มีเงิน ตำรวจเลยให้นัดมาเจอกันอีกทีหนึ่ง พอนัดมาคราวนี้ก็ไม่มา ตำรวจนัดครั้งที่ 2 ก็ไม่มา หลังจากนั้นก็หายไปเลย 

 

 

             ตนเคยโทรไปสอบถามความคืบหน้าคดี กับตำรวจเจ้าของสำนวน เขากลับบอกว่า "ไม่ว่าง ดำนาอยู่" และตนได้เคยถามว่า คดีไปถึงไหนแล้ว เขาบอกว่า "ไม่ได้ไปไหนหรอก อยู่ที่โรงพักนี่แหละ" ถามอะไรเขา เขาก็ปัดหนี ตนเจอแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงเลย แฟนของน้องชายเลยต้องมาร้องเรียนกับทางรายการ     

 

             ทั้งนี้ ตนต้องลางานพาน้องชาย ไปโรงพยาบาลทุกเดือน เพื่อเอกซเรย์ดูความคืบหน้า แต่ล้างแผลต้องพาไปทุกวัน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ต้องจ่ายเองทั้งหมด  

 

             ขณะที่ พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี กล่าวว่า คดีนี้ เป็นคดีอุบัติเหตุรถชนกัน เป็นเหตุุให้มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย การเกิดเหตุจะมีการซับซ้อนอยู่ เพราะเป็นลักษณะของรถยนต์ 3 คันเฉี่ยวชนกันจนเกิดเหตุขึ้น คันที่เราสันนิษฐานกันว่าประมาท คือกระบะคันสีดำ ยี่ห้อนิสสัน ที่แซงกระบะคันสีขาว ทางเราได้พิจารณาแล้วว่า ผู้ขับกระบะคันสีดำ เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส   ขณะที่เรื่องการตรวจแอลกอฮอล์นั้น วันที่เกิดเหตุผู้ต้องหาทำการหลบหนี ทำให้ไม่ได้ตรวจ แต่ตรงนี้ก็มีความผิดเช่นกัน  

 

 

             สำหรับการดำเนินการในคดีนี้ ต้องแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการดำเนินคดีอาญา โดยเราจะเอาตัวมาดำเนินคดีอาญาใน 2 ฐานความผิด คือ ขับรถเฉี่ยวชนแล้วหลบหนี และขับรถอันตรายสาหัส เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ส่วนที่สองเป็นเรื่องของการชดใช้ทางแพ่ง ข้อนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทางผู้เสียหายไม่สามารถตกลงค่าเสียหายกันได้ เนื่องจากตามกฎหมายประเทศไทย ไม่ได้ให้อำนาจตำรวจในการเรียกค่าเสียหาย แต่ถ้าคู่กรณีมีการตกลงค่าเสียหายกันอย่างไร เราก็จะบันทึกไว้ให้เพื่อเป็นเหตุบรรเทาโทษเท่านั้น  

 

             ส่วนในเคสนี้ที่ยังไม่ได้นำตัวมาฟ้อง เนื่องจากรอใบชันสูตรบาดแผล ซึ่งล่าสุดตนได้กำชับไปแล้วว่าต้องนำตัวผู้ต้องหารายนี้ มาฟ้องดำเนินคดีให้ได้ภายใน 7 วัน และขอยืนยันว่าสามารถตามตัวผู้ก่อเหตุได้แน่นอน ในขณะที่ประเด็นเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจ พูดจาไม่เหมาะสม ตนก็ขอโทษแทนลูกน้อง และจะไปกำชับในเรื่องดังกล่าวด้วย   

 

 

             ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล รองประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความเห็นว่า เบื้องต้น ในกรณีที่  พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี บอกมา มันยังขาดอีก 1 ข้อหา คือข้อหาในกรณี พ.ร.บ.จราจรทางบก ในกรณีที่บุคคลขับรถโดยหวาดเสียว เกิดความเสียหาย ข้อนี้มีโทษจำคุก 3 เดือน ส่วนในเรื่องของคดี ตัวผู้ต้องหา ผิดฐาน ประมาททำให้บุคคลได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งอาการสาหัสนั้นเขาดูจากตรงที่ ระยะเวลารักษาเกินกว่า 21 วัน แล้วเหตุเกิดตั้งแต่เดือน เม.ย. ตนคิดว่า มันไม่ควรจะปล่อยให้นานขนาดนี้ 

 

 

             และแน่นอนว่าเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว เราก็ต้องอยากเรียกร้องค่าเสียหาย ดังนั้นให้ผู้เสียหายรวบรวมหลักฐานทุกอย่าง ทั้งใบเสร็จค่ารักษา หลักฐานลางาน อะไรต่าง ๆ รวมไว้ในคราวเดียว แล้วก็ยื่นต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนส่งให้พนักงานอัยการ เรียกร้องไปในคราวเดียวกับคดีอาญา ผู้ต้องหาจะมีหรือไม่มี เราก็มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหาย อีกทั้งยังสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ด้วย เป็นค่าทุกขเวทนา ที่เราต้องใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปตลอดชีวิต และถ้าหากเข้ากระบวนการสั่งฟ้องเมื่อไหร่ ต้องการทนาย ติดต่อมาหาตนได้เลย ตนยินดีจะช่วย  

 

             ทั้งนี้ เรื่องที่ไม่ได้ตรวจแอลกอฮอล์ผู้ต้องหา ตนไม่เข้าใจว่าทำไมตำรวจถึงละเลยเรื่องแบบนี้ มันอาจจะช่วยให้สรุปสำนวนคดีได้เร็วขึ้น ส่วนในเรื่อง ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ พูดจาไม่เหมาะสม ตนคิดว่า เขาไม่ควรมาพูดเล่นขำกันได้ เรื่องความทุกข์ร้อนของชาวบ้าน มันต้องเร่งด่วนในทันทีทันใด