เป็นเรื่องราวที่สร้างความเศร้าใจให้ใครหลายคนอย่างมาก เมื่อนายวีรนันท์ อายุ 29 ปี โพสต์ภาพจูบลาครั้งสุดท้ายผ่านเฟซบุ๊ก หลังต้องสูญเสียภรรยา คือคุณจารุพร อายุ 31 ปี และน้องข้าวหอม ลูกสาววัย 3 ขวบ
โดยทั้งหมดประสบอุบัติเหตุ รถเก๋งถูกรถกระบะบรรทุกคนงาน ที่มีนายอุดร อายุ 40 ปี เป็นคนขับ เฉี่ยวชนบนถนนเส้นพิษณุโลก-กำแพงเพชร บริเวณโค้งบ้านแหลมเจดีย์ หมู่ 8 ตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อช่วงเย็นวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา
สอบถามนายวีรนันท์ เล่าว่า วันเกิดเหตุขับรถออกจากบ้านมาไม่ถึง 2 กิโลเมตร เพื่อไปซื้อกับข้าวมากินกับครอบครัว ก่อนเห็นรถกระบะคู่กรณีขับมาด้วยความเร็ว จากนั้นเสียหลักแหกโค้งพุ่งชนรถจักรยานยนต์ 1 คัน ก่อนพุ่งชนรถของตนเองอย่างจัง ทำให้ภรรยาและลูกสาวเสียชีวิต ส่วนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหลายคน
แต่ที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดที่สุด คือ นายอุดร คนขับรถกระบะ ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย มีลักษณะท่าทางคล้ายมึนเมา ถามอะไร ก็ตอบเพียงว่าไม่รู้เท่านั้น และไม่มีแม้กระทั่งคำว่าขอโทษ คดีนี้ตำรวจไม่มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในจุดเกิดเหตุ แต่ไปตรวจวัดที่โรงพักแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ใกล้จุดเกิดเหตุ สามารถจับภาพระหว่างที่รถเก๋งของผู้ตายขับมาตามถนนได้ รวมถึงรถกระบะคันก่อเหตุ ที่บรรทุกคนงานมาเต็มท้ายรถ
แต่เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ กล้องไม่สามารถบันทึกวินาทีตอนรถพุ่งชนได้ มีเพียงเสียงเบรกดังลากยาว ก่อนจะเกิดเสียรถชนดังสนั่นหวั่นไหว / ซึ่งทางนายวีรนันท์ ขอความร่วมมือรถที่ขับผ่านไปมาในช่วงเวลาดังกล่าว หากมีกล้องหน้ารถช่วงเกิดเหตุ สามารถติดต่อส่งให้เจ้าตัวได้ตลอดเวลา
ขณะที่ทีมข่าวลงพื้นที่วัดทองหลาง สอบถามนางมานิตย์ แม่ของนางจารุพร ผู้เสียชีวิต ยอมว่า รู้สึกเสียใจและผิดหวังมาก โดยเฉพาะกรณีไม่ตรวจแอลกอฮอล์คนขับรถคู่กรณีในทันที ตอนนี้ลูกเขย (วีรนันท์) สภาพจิตใจย่ำแย่ เพราะมีเสียงตำหนิจากโซเชียลว่า ทำไมถึงเอาฝั่งลูกเมียเข้าชนแทนตัวเอง ฉะนั้นอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจว่า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก และมันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด
ส่วนงานฌาปนกิจศพนางจารุพร และน้องข้าวหอม จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (4 ส.ค.) โดยทางญาติๆ อยากขอความเป็นธรรมให้กับคนตายด้วย เพราะขณะนี้ฝั่งคู่กรณี ยังไม่ติดต่อมา หรือแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย
ขณะที่ทางด้านคดี ทางตำรวจ สภ.บางระกำ เชิญตัวนายอุดร คนขับรถกระบะคันเกิดเหตุ เข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติม โดยอ้างว่า วันเกิดเหตุขับรถมาตามปกติ ความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนตัวยอมรับว่าดื่มแอลกอฮอล์หลังเลิกงานมานิดหน่อย โดยตำรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ 45 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่เกินที่กฎหมายกำหนด
ส่วนตัวอยากจะขอโทษกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก รวมถึงอยากจะไปร่วมงานศพผู้ตาย แต่ฝั่งครอบครัวคู่กรณีคงโกรธอยู่ จึงยังไม่กล้าเดินทางไป
เบื้องต้นคดีนี้ ตำรวจแจ้งข้อหา ฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย
ติดตาม รายการ "ข่าวเย็นประเด็นร้อน" ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15.45-18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35