ลุงแท็กซี่โอด จอดรับผู้โดยสาร ถูกมาเฟียเจ้าถิ่น รุมกระทืบสลบกลางสายฝน คดีไม่คืบ!

เกิดเหตุการณ์ ลุงวัย 68 ปี ขับแท็กซี่ เข้าไปรับผู้โดยสาร บริเวณบีทีเอส สถานีคูคต ก่อนจะมาพบตัวแก๊งผู้ก่อเหตุ ตั้งตนเป็นมาเฟียคุมถิ่น มาไล่ไม่ให้จอดรถรับผู้โดยสาร หากจะจอดรับผู้โดยสารบริเวณนี้ ต้องจ่ายเงิน และทำร้ายร่างกายบาดเจ็บหนัก จนต้องเข้าไปแจ้งความที่ สภ.คูคต แต่คดีความไม่คืบหน้า 

 

            วันที่ 1 ส.ค. 2565 กิตติ ภัทรพิมลธรรม โชเฟอร์แท็กซี่ เล่าเรื่องราวผ่านรายการข่าวเย็นประเด็นร้อน ในช่วง "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า เหตุการณ์เกิดวันที่ 22 ก.ค. 65 เวลาประมาณ 21.00 น. ตนขับแท็กซี่ผ่าน บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสคูคต ซึ่งวันนั้นฝนตกหนัก ตนเห็นว่าผู้โดยสารยืนตากฝนกันเยอะ จึงขับแท็กซี่เข้าไปจอด สักพักก็มีแท็กซี่เข้าไปจอดหลังตน 1 คัน ก่อนจะมีแท็กซี่อีกหนึ่งคัน มากระพริบไฟไล่รัว ๆ จนแท็กซี่คันข้างหลังตน รู้สึกกลัว จนต้องขับออกไป ซึ่งตอนนั้นตนก็เห็นว่าเขาไล่ แต่ผู้โดยสารกำลังจะมาขึ้นรถ ตนเลยกะว่ารับผู้โดยสารเสร็จแล้วก็จะไป แต่ไม่ทัน เขาลงจากรถมาเคาะกระจกรถตนซะก่อน 

 

 

            จากนั้นเขาก็บอกว่า "เอ็งวิ่งได้เที่ยวเดียวนะ ต่อไปอย่ามาให้เห็นหน้าอีก" ตนจึงถามกลับไปว่า "ทำไมถึงรับผู้โดยสารไม่ได้" เขาก็สวนหมัดรัวเข้ามาต่อยตน ต่อมาจากนั้นเพื่อนของเขา มาช่วยเปิดประตู และลากตัวเองลงจากรถ กระทืบตนตรงนั้น จนตนสลบไป คนแถวนั้นก็เยอะเห็นกันหมด แต่ไม่กล้ามีคนเข้ามาช่วยตน เพราะเขากลัวกัน ตัวผู้ก่อเหตุค่อนข้างกร่าง พอตนฟื้น ก็เข้าไปแจ้งความที่โรงพัก สภ.คูคต ก่อนจะเข้าไปทำแผลที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช โดยตอนที่ตนไปทำแผลที่โรงพยาบาล พยาบาลยังเล่าให้ตนฟังว่า ขนาดผู้โดยสารไปเรียกรถนอกป้าย เขายังมาตะคอกข่มขู่เลย ทั้งนี้ตนบาดเจ็บโดยที่ศรีษะแตกเย็บ 11 เข็ม และบาดเจ็บช่วงลำคอ ฟกช้ำทั่วใบหน้า แถมที่เข่าก็มีแผลถลอก 

 

            หลังจากทำแผลเสร็จ ตนก็กลับบ้าน แต่กลัวลูกสาวจะเป็นห่วง จึงเอาเสื้อที่เปื้อนเลือดไปทิ้ง ที่ร้านค้าใกล้บ้าน และไม่ได้เข้าบ้าน แต่ไปนอนบ้านเพื่อน เพราะกลัวพวกผู้ก่อเหตุจะตามมา ขณะเดียวกันระหว่างพักรักษาตัวก็ไม่ได้ขับแท็กซี่เลย รายได้หายไป 18 วัน ตอนนี้ เรื่องคดีความมันเงียบ จึงต้องมาให้เพจเฟซบุ๊ก สายไหมต้องรอด ให้เขาช่วยเหลือ  

 

  

 

            อย่างไรก็ตาม ที่บริเวณเดียวกันนี้ ตนเคยถูกไล่มาแล้วรอบหนึ่ง เมื่อประมาณเดือน เม.ย. 65 โดยเป็นตัวผู้ก่อเหตุคนเดิมเข้ามาไล่ ซึ่งวันนั้นตนเห็นแท็กซี่เขาจอดกัน ตนก็เข้าไปจอด ทางตัวผู้ก่อเหตุเข้ามาบอกว่า  "คุณ ที่นี่มันที่ทำมาหากิน คุณก็ต้องรู้ดิ ว่าขับแท็กซี่ ตรงไหนเป็นที่ทำมาหากิน" ตอนนั้นตนก็กลัว เพราะเขาออกมาดนักเลง จึงไม่ได้รับผู้โดยสาร และกลับบ้านไป ทั้งนี้ เพื่อนแท็กซี่ของตนเล่าว่า เคยถูกไล่เหมือนกัน แต่เพื่อนของตนขอวิ่ง ก็ต้องจ่ายเงิน 100 บาท ให้เขาเป็นค่าสติกเกอร์ เพื่อมารับผู้โดยสารตรงนี้ และจ่ายรายเดือนอีก เดือนละ 400 บาท ถ้าไม่มีสติกเกอร์แบบนี้ เขาก็จะไล่เลย   

 

 

            ด้าน เอกภพ  เหลืองประเสริฐ  ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เผยว่า จากประเด็นที่หนึ่งในแท็กซี่ มาให้ข้อมูลว่า สติกเกอร์ที่ได้มา ไม่ต้องจ่ายเงิน และไม่ต้องจ่ายรายเดือนเพื่อเป็นสมาชิกอะไร ตนตั้งข้อสังเกตุว่า ใครจะมาลงทุนทำสติกเกอร์ให้ฟรี ซึ่งวันที่ลงพื้นที่ไป มีรถแท็กซี่จอดบริเวณนั้น 20 คัน ทุกคันมีสติกเกอร์แบบเดียวกันหมด ไม่มีคันไหนที่ไม่มีสติกเกอร์ แล้วจอดได้เลย อย่างไรก็ตาม จะมีมาเฟียคุมถิ่นแถวนั้นหรือไม่อย่างไรก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คุณลุงเขาถูกทำร้ายจริงบริเวณนั้น บาดเจ็บจริง เรื่องนี้ทาง จ.ปทุมธานี ผู้ว่าฯปทุมธานี ปล่อยไว้ได้อย่างไร 

 

 

 

            ทั้งนี้ เรื่องเกิดเหตุวันที่ 22 ก.ค. 65 ตนทราบเรื่องวันที่ 24 ก.ค. 65 ตนก็คิดว่าเดี๋ยวตำรวจก็คงจะจับตัวได้ เพราะก่อเหตุอุกฉกรรจ์ คงจะจับตัวได้ไม่นาน แต่ผ่านไป 7 วัน คุณลุง ก็เข้ามาติดต่อตามเรื่องกับตนตลอด ตนเลยติดต่อขอคุยกับผู้กำกับโรงพักคูคต ปรากฏว่า โรงพักคูคต ไม่มีผู้กำกับมา 5 เดือนแล้ว มีแต่รักษาการณ์แทน ซึ่งรักษาการณ์แทนท่านก็งานเยอะ ทำให้ท่านไม่มีเวลาตามคดีอื่น ๆ และต้องบอกว่า โรงพักคูคตมีประชาชนเข้ามาร้องเรียนกับเพจสายไหมต้องรอดเยอะมาก แต่โชคดี ว่าผู้กำกับคนเดิมที่ถูกย้ายไป 5 เดือน ท่านกลับมาพอดี และวันนั้นเลยก็สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุมาได้แล้ว 1 คน 

 

 

            ทั้งนี้ ทางทีมงาน "ถกไม่เถียง" ได้สอบถามกับ พ.ต.อ.มนัสเวท ทองอิ่ม ผู้กำกับ สภ. คูคต ได้ความว่า สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว 1 ราย และผู้ก่อเหตุไม่ใช่ผู้ก่อเหตุแต่อย่างใด คูคตมีแต่มาฟรี ไม่มีมาเฟีย ส่วนกรณีเรื่องของการจ่ายค่าจอดแท็กซี่ ตนยืนยันว่า ไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น การทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นนั้น มาจากการที่ผู้ก่อเหตุโมโหที่คุณลุงไปแซงคิวรับผู้โดยสาร 

 

            ขณะที่ กิตติ ภัทรพิมลธรรม โชเฟอร์แท็กซี่ กล่าวเพิ่มว่า ตนยืนยันว่าวันที่เกิดเหตุไม่ได้แซงคิว ตนขับรถแท็กซี่มา 30 ปี เรารู้ว่ามารยาทในการรับคนเป็นอย่างไร แถมเราอายุเยอะ หากถูกคนขับหนุ่ม ๆ มาต่อว่า เราก็ต้องละอาย ตนจึงเข้าไปตามคิวตามมารยาท แต่มันเกิดปัญหาเพราะมีคนมาไล่ไม่ให้รับผู้โดยสาร 

 

 

            ก่อนหน้านี้ ทางตำรวจนำรูปผู้ต้องสงสัยมาให้ชี้ 50 รูป มีอยู่คนหนึ่งที่ก้ำกึ่ง ว่าจะใช่ แต่ตนยังไม่ปักใจ จึงขอเห็นตัวจริงก่อน จะได้ไม่ชี้แพะ ตกค่ำวันเดียวกัน ร้อยเวรก็เรียกให้ตนเข้าไปดูตัวผู้ต้องสงสัยตัวจริง ซึ่งก็คล้ายกับคนที่ทำร้ายตน แต่ก็แค่คล้าย เพราะคนนี้ดูอ้วน แต่คนที่ทำร้ายตน ดูผอม ตนจึงขอไปปรึกษากับเพื่อน ๆ ที่รู้ข้อมูลก่อน เพื่อน ๆ ก็บอกว่า ใกล้เคียง แต่ยังไม่ใช่             

 

 

            ขณะเดียวกัน เอกภพ  เหลืองประเสริฐ เผยเพิ่มว่า พรุ่งนี้ (2 ส.ค. 65) จะพาคุณลุงไปดูตัวผู้ต้องหา โดยที่ผู้ต้องหาคนนี้ให้การรับสารภาพ แต่ถ้าหากไปชี้ตัวแล้วไม่ใช่ตัวจริง ทางตำรวจก็ต้องไปหาตัวผู้ก่อเหตุมาใหม่ เพราะพฤติกรรมแบบนี้มันเป็นภัยสังคม ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ มันเป็นที่สาธารณะ พร้อมทั้งขอตำหนิ ว่าเป็นสถานีรถไฟฟ้าของ รฟม. (การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) แต่กล้องวงจรปิดแทบจะไม่มี ในขณะที่เป็นสถานีรถไฟปลายทางที่ประชาชนเดินทางมาลงเยอะมาก เพื่อต่อรถไปต่อ คุณสร้างรถไฟฟ้ามูลค่าแสนล้านบาท แต่ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนคุณเอาไว้ตรงไหน  

 

"ไม่อยากให้เป็นกรณีอุทาหรณ์แล้ว เพราะประเทศไทยมีกรณีตัวอย่างเยอะมากแล้ว ต้องจัดการให้เฉียบขาด" เอกภพ กล่าว