นายผมใหญ่ ใครจะทำไม! เมียร้อง ผัวทหารจับขัง ซ้อมยับ บังคับหย่า

เมียร้องสื่อช่วย อยากได้ทรัพย์สินคืน หลังถูกผัวทหารจับขัง-ซ้อม บังคับเซ็นใบหย่า  กล่าวหาว่าตนคบชู้ นายทหารลั่น ทำไรตนไม่ได้ เพราะมีนายใหญ่หนุนหลังอยู่      

 

              วันที่ 7 ก.ค. 2565 เฟิร์น ผู้เสียหาย ออกมาเล่าเรื่องราวผ่านรายการข่าวเย็นประเด็นร้อน ในช่วง "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7HD กด35 ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เล่าว่า สามีของตนทำงานรับข้าราชการทหาร โดยวันที่ 5 พ.ค. 65 ตกลงกับสามีว่าจะหย่ากัน แต่ตนขอทรัพย์สินของตนคืน โดยจะเป็นทองกับโฉนดที่ดิน จึงเดินทางไปเอาทรัพย์สินคืน วันที่ 10 พ.ค. 65 ที่บ้านพักในค่ายทหาร จ.สุรินทร์ ซึ่งตอนนั้นสามีตนอยู่ในบ้าน พอค้นหาทรัพย์สินของตนในตู้ที่เคยเก็บเอาไว้ กลับไม่เจออะไรเลย ทางสามีก็บอกว่าของทุกอย่างอยู่กับแม่สามี ถ้าอยากได้ให้ไปเอาที่เขา ตนจึงเกิดอาการไม่พอใจ และเกิดการทะเลาะกันขึ้น จนเขาเหวี่ยงตนลงพื้น และกระทืบซ้ำ จากนั้นเขาก็ออกจากบ้านไปเรียกเพื่อน ๆ โดยล็อกบ้านขังตนไว้ในนั้น 

 

 

              จากนั้นตนก็พยายามหนีออกมาจากทางหลังบ้าน โดยหยิบมีดกับค้อนติดมือมาด้วย และยอมรับว่าทุบรถเขาก่อน แต่พอเดินวนมาหน้าบ้านก็พบพรรคพวกเขาที่เป็นทหารอยู่ด้วยหลายคน สามีก็มาแย่งมีดกับค้อน และเอาไปทุบรถของตนคืนเช่นกัน และได้เอามีดมาจี้คอตน และขู่ว่า "กูจะฆ่ามึง" ตนก็นิ่ง และไม่ได้คิดจะสู้เขาเลย สักพักนึงเขาก็ต่อยเข้าที่เบ้าตาของตน และกำหมัดตบหน้าตนอีก 2 ครั้ง อีกทั้งยังเตะจนล้ม กระทืบซ้ำ จนแน่นิ่งไปกับพื้น ซึ่งพรรคพวกทหารของเขาไม่ได้มีใครเข้ามาห้ามเลย มีเพียงน้องทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วย และพยายามให้ตนขึ้นรถไปขับหนีไป ตนอยากชื่นชมน้องทหารคนนี้มาก ที่ช่วยตนออกมาจากจุดนั้น 

 

"เฟิร์นทำใจว่าจะต้องตายตั้งแต่ถูกมีดจี้คอแล้ว เพราะเฟิร์นไม่ได้สู้เขาเลย" เฟิร์น กล่าว          

 

              ทั้งนี้ ตนได้เดินทางไปแจ้งความที่ สภ.สุรินทร์ ซึ่งเรื่องก็เงียบ คดีไม่คืบหน้า และทางเขาก็ปฏิเสธข้อกล่าวหาทุกอย่าง ว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ ส่วนเรื่องในค่ายทหารก็ยังไม่ทำอะไรเลย ไม่มีการลงโทษตามวินัยใด ๆ อีกทั้งยังขู่ว่าตนไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เพราะยังไงนายของเขาก็ช่วยเขาอยู่แล้ว พรรคพวกของเขาเยอะ  ตนจึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรม โดยไปร้องเรียนกับทนายรณณรงค์ และเพจเฟซบุ๊ก "ถกไม่เถียง" 

 

  

 

              อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรมทางทีมงาน "ถกไม่เถียง" ได้ติดต่อไปกับสามีคู่กรณี เพื่ออยากให้เล่าในมุมของฝ่ายชาย โดยทางคู่กรณี เล่าว่า เขาไม่ได้เอามีดจี้คอ เพียงแต่พยายามช่วยเอามีดออกจากมือของฝ่ายหญิง เพราะฝ่ายหญิงทุบตีรถของเขาก่อน และยังบอกอีกว่าเขาไม่ได้กักขัง ไม่ได้บังคับขู่เข็ญ หรือทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากที่เขาจับได้ว่าเฟิร์นมีคนอื่น ช่วงสิ้นปี 2564 ซึ่งมีภาพที่เขาอยู่กับผู้ชายคนอื่นด้วย และเฟิร์นก็มาระรานเขา กระชากประตู กระชากคอเสื้อ เอามีดไล่แทง และทำลายทรัพย์สินภายในบ้านทั้งหมด  

 

"เขาจี้คอหนูค่ะ ไม่งั้นสภาพจิตใจหนูไม่แย่ขนาดนี้ หนูไม่เคยโดนกระทำแบบนี้มาก่อน หนูรับไม่ได้จริง ๆ" เฟิร์น กล่าว           

 

              ทั้งนี้ คุณ เฟิร์น ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนยืนยันว่าเขาเอามีดจี้คอ ทำให้สภาพจิตใจของเขาแย่มาก เรื่องที่ตนเอามีดไล่แทงก็ไม่จริง เพราะมีดมันอยู่หลังบ้าน ตนไปเอามาตอนหลบหนีออกทางหลังบ้าน และใช้ทำลายรถเท่านั้น ส่วนเรื่องชู้ ที่มีภาพหลุดออกมา ตนยอมรับว่าคนในภาพเป็นตน แต่เป็นภาพเก่า ซึ่งผู้ชายในภาพก็เป็นอดีตแฟน ที่ถ่ายกันไว้ตั้งแต่ก่อนจะรู้จักสามี ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาภาพมาจากไหน แต่คิดว่าน่าจะเอามาจากโทรศัพท์เครื่องเก่าที่ตนไม่ได้ใช้แล้ว อย่างไรก็ตามตนยืนยันได้ว่าอยู่บ้านที่ จ.นครศรีธรรมราช ตลอด เพราะพักหลังแม่ตนป่วย ตนต้องคอยดูแลแม่ไป ๆ มา ๆ ระหว่าง บ้านของตนที่ จ.นครศรีธรรมราช กับ จ.สุรินทร์ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งคนแถวนั้นก็จะเห็นตนทุกวัน    

 

 

              นอกจากนี้ตั้งแต่คบหา แต่งงานกันมา เขาก็มีพฤติกรรมรุนแรง แต่แค่ฟกช้ำ ซึ่งครั้งนี้รุนแรงมากที่สุดจนตนรับไม่ได้ และที่รุนแรงที่สุดอีกอย่าง คือทางแม่สามีไม่ให้บอกใคร ว่าเขาเป็นคนทำร้ายตน 

 

              สุดท้ายที่ตนออกมาเรียกร้องกับสื่อ คือ อยากหย่าขาดกับเขา อยากได้โฉนด และทองของตนคืน ซึ่งโฉนดก็เป็นชื่อของตน ส่วนทองก็เป็นทองสินสอด เป็นทอง 1 บาท กับแหวนทอง 1 สลึง ที่เขาให้เอาไว้ตอนแต่งงาน และยังอยากให้เขาได้รับโทษทางวินัยสูงสุด พร้อมค่าเสียหายที่ทำร้ายร่างกายตน อีกทั้งค่าเยียวยาจิตใจของตน เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท ทั้งนี้ตนยืนยันว่าจะไม่มีทางกลับมาคืนดีกัน และไม่ขอเจอกันอีกในชาตินี้  

 

 

              ด้าน รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เล่าว่า เขามาร้องเรียนว่าถูกทำร้ายร่างกายมา โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เป็นครั้งที่หนักที่สุดจนทนไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ต่อให้บอกว่าฝ่ายหญิงมีชู้ ฝ่ายชายก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกาย ถ้าเขากระทำผิดต่อเรา เราก็ต้องใช้สิทธิ์ทางกฎหมายไปฟ้องศาลฯเรียกค่าเสียหาย หรือฟ้องหย่า ส่วนทรัพย์สินที่ทำให้เสียหาย มันสามารถซ่อมกันได้ แต่ร่างกายมันซ่อมกันยาก   

 

              และที่สำคัญ ตัวฝ่ายชายรับข้าราชการทหาร เวลาก่อเหตุทำร้ายร่างกายภรรยา ไม่ว่าจะจดทะเบียนสมรส หรือไม่จดทะเบียนสมรส แถมยังเป็นพื้นที่ในค่ายทหารอีกด้วย ผู้บังคับบัญชาก็ต้องลงโทษทางวินัย จะบอกว่าไม่ผิดเลยไม่ได้ ถ้าหากฟังแล้วว่าผิดจริง หรือลงมือรุนแรงเกินไป ก็ต้องลงโทษสูงสุด คือ ปลดออกจากราชการ การสอบสวนกันในค่ายทหารก็ต้องทำให้มันโปร่งใส เพราะตามกฎหมายการทำร้ายร่างกายในครอบครัวมันมีพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำในครอบครัว ซึ่งให้อำนาจต่อเพื่อนบ้านสามารถโทรแจ้งตำรวจได้ แต่เคสนี้มันเกิดในค่ายทหาร ต่อให้แจ้งไปยังไงก็ไม่มีใครเข้ามาช่วย ดังนั้นเจ้าของพื้นที่ก็ต้องดูแลไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ วันนี้ตนจึงได้ไปยื่นเรื่องกับทาง ผบ.ทบ. ให้ช่วยสั่งการลงมาดูแล      

 

 

              ส่วนกรณีการฟ้องหย่า ต้องหาผู้ใหญ่มาคุยไกลเกลี่ยกัน เพราะปัญหาครอบครัวส่วนใหญ่พอขึ้นศาลฯ ศาลฯท่านจะให้ไกล่เกลี่ยตลอด เคสนี้ก็ไม่น่าพ้นการไกล่เกลี่ย แต่ทางฝ่ายชายก็ยังไม่ยอมติดต่อพูดคุยเพื่อไกล่เกลี่ยใด ๆ