เหยื่อ "ดารุมะ ซูชิ" น้ำตาตก เจ้าของชิ่งบินออกตปท. ร้อง กลับมาชดใช้ก่อน : ช็อตเด็ด ถกไม่เถียง

627 ครั้ง

20 มิ.ย. 2565

แชร์ข่าวไปที่

ผู้เสียหาย กรณี "ดารุมะ ซูชิ" เข้าแจ้งความ ผู้เสียหายมีทั้ง ผู้ลงทุนทำแฟรนไชส์ และผู้ซื้อคูปองทิพย์ ผู้เสียหายกว่า 3.3 หมื่นราย มูลค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท โดยเจ้าของแบรนด์ ชิ่งหนีออกนอกประเทศไปแล้ว

ถกไม่เถียง : เหยื่อ ฃดารุมะ ซูชิ น้ำตาตก เจ้าของ

วันที่ 20 มิ.ย. 2565 ดา ผู้จัดการร้านดารุมะ ซูชิ เล่าว่า คุณเมธา เจ้าของแบรนด์ จะเป็นคนออกคำสั่งทั้งหมด ทางร้านขายดีมาตลอด ไม่ว่าจะจัดโปรโมชั่นแบบไหน แต่ตนคิดไว้อยู่แล้วว่าบริษัทฯ จะต้องขาดทุน ตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าบริษัทฯน่าจะมีแหล่งเงินทุน เพราะเห็นขยายสาขาอยู่เรื่อย ๆ ตอนแรกเขายังไม่ได้มีการขายแฟรนไชส์ เพิ่งมาเริ่มขายเมื่อปีที่แล้ว และขายเร็วมาก คนที่ซื้อแฟรนไชส์ จะต้องจ่าย 2.5 ล้านบาท และจะได้ พนักงาน ยูนิฟอร์ม สิทธิ์การสั่งของจากบริษัทฯ และเจ้าของแฟรนไชส์ก็ได้ปันผล 10% ของยอดขาย

ส่วนโปรโมชัน 199 บาท มันจะมีอยู่เรื่อย ๆ ตอนแรกจะเป็นโปรโมชันเปิดร้านใหม่เท่านั้น แต่ช่วงหลังหากสาขาไหนยอดตก เขาก็จะมาจัดที่สาขานั้น หรือสาขาไหนที่รองรับลูกค้าได้เยอะก็จะเวียนมาจัดโปรที่นั่น ซึ่งผลตอบรับก็ดีถล่มทลาย เคยถามเจ้าของแบรนด์ว่าขายแบบนี้จะได้กำไรหรอ ทางคุณเมธาตอบว่า หน้าที่หาเงินเป็นเรื่องของเขา พนักงานมีหน้าที่บริการให้ดี และห้ามโดนด่าด้วย อย่างไรก็ตาม คุณเมธา มีมือขวาในการช่วยทำงาน โดยเป็นผู้จัดการเหมือนตน พองานเยอะขึ้น คุณเมธาเริ่มมอบหมายงานมาให้มือขวาคนนี้ ส่วนเรื่อง HR หรือ พนักงานบัญชี ในบริษัทฯ ตนไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า แต่ตนไม่เคยได้ติดต่อประสานงานเลย ติดต่อผ่านทางมือขวาเท่านั้น

ตอนนี้ตนเป็นห่วงลูกน้องคนไทยที่ยังไม่ได้ประกันสังคม ยิ่งพนักงานต่างชาติยิ่งน่าสงสาร เพราะพวกเขาทำเอกสารเพื่อเป็นแรงงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ต้องผ่อนจ่าย 3 เดือนถึงจะได้ แต่ก็มาเกิดเรื่องซะก่อน ทำให้ไม่ได้บัตรแรงงานด้วย เงินก็เสียไปแล้ว แถมมาตกงานกลางเดือน ต้องกลายเป็นผีอีกครั้ง

ด้าน คุณนุ่น ผู้ซื้อแฟรนไชส์ร้านดารุมะ ซูชิ เผยว่า ทำสัญญาซื้อแฟรนไชส์ตั้งแต่เดือน กันยายน 2564 ซื้อเพราะเห็นป้ายโฆษณาหน้าร้าน ที่มีความน่าสนใจ พอได้คุยกับเจ้าของแบรนด์ ตนรู้สึกเชื่อใจ เพราะดูจากการขยายสาขาที่รวดเร็ว และลักษณะการพูดคุยที่ดูน่าเชื่อถือ

ร้านของตนเปิดบริการวันแรกวันที่ 13 มีนาคม 2565 ณ ตอนนี้ได้กำไรแบ่งมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2565 มียอดประมาณ 110,000 บาท และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2565 มียอดประมาณ 140,000 บาท ตนยอมรับว่าตอนนั้นรู้สึกดีใจมากที่ลงทุนไปแล้วได้กำไรกลับมา คิดว่าธุรกิจนี้เป็นการลงทุนที่ใช่สำหรับตัวเองแล้ว โดยช่วงเดือนก่อนหน้านี้ คุณเมธาไม่มีวี่แววว่าจะก่อเหตุ ยังคงพูดคุยปกติ วัตถุดิบและของที่มาส่งที่ร้านก็ปกติ แต่เมื่อมารู้ตัวอีกทีตนก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ตนสูญเสียจากการลงทุนเพียงครั้งเดียวถึง 2 ล้านบาท ซึ่งมันเป็นเงินที่เยอะมาก ตอนนี้ต้องการให้เขากลับมาชดใช้

คุณ เจ (นามสมมติ) ผู้เสียหายที่ซื้อวอชเชอร์มาเป็นจำนวนมาก เผยว่า อยู่ในวงการนี้มาประมาณ 3 ปีแล้ว โดยจะซื้อคูปองเก็บไว้เพื่อรอบริการลูกค้า ซึ่งเราตอบโจทย์ลูกค้าในการซื้อคูปองมาเก็บไว้ บริการจองโต๊ะ และติดต่อประสานงานต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าจนกว่าจะได้ทาน เหตุผลที่ทำเพราะรายได้ส่วนนี้มากพอที่จะจุนเจือชีวิตเราได้

วิธีการเอากำไรของตนคือการคิดค่าดำเนินการเพิ่ม โดยลูกค้าจะได้รับความสะดวก เราจะแจ้งรายละเอียดทั้งหมด พร้อมตอบข้อสงสัยของลูกค้า คล้าย ๆ กับการเป็นแอดมินแทนร้านไปเลย จากนั้นจึงเริ่มมีกลุ่มขายคูปองของตัวเองซึ่งมีสมาชิกมากถึง 15,000 คน และยังมีเพื่อนในเฟซบุ๊กอีกเกือบ 3,000 คนที่เป็นลูกค้า

ตนรู้สึกเอะใจตอนที่มีข่าวสงครามระหว่าง ยูเครน-รัซเซีย เพราะทราบว่าการขนส่งแซลมอนมีความยากลำบาก และมีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ทำไมทางร้านยังคงขายในราคาถูกมาก จึงเป็นประเด็นที่ตนตัดสินใจโอนเงินคืนเจ้าหนี้ไปก่อน ตอนนี้มีลูกค้าที่ซื้อคูปองกับทางตนไปแล้ว ซึ่งก็ต้องทยอยคืนเงินให้หมด และยอมรับกับลูกค้าไปตรง ๆ ว่าตอนนี้หมดตัวแล้ว แต่ยืนยันว่าไม่ได้คิดจะหนีไปไหนแน่นอน

คุณ เอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กล่าวในประเด็นเรื่องแรงงานว่า เบื้องต้นได้ประสานไปที่ท่าน เธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ซึ่งในวันพรุ่งนี้อาจต้องพากลุ่มแรงงานไปพบทางกระทรวงแรงงานเพื่อเรียนท่านรัฐมนตรีให้ช่วยเรื่องนี้ด้วย เพราะถือว่าเป็นเรื่องความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเช่นเดียวกัน ตอนนี้มีผู้มาติดต่อร้องเรียนเยอะ ตนได้มีการพูดคุยกับท่านโฆษกกระทรวงแรงงานแล้วเบื้องต้น ทราบว่าท่านผู้บริหารกระทรวงได้มีการสั่งการไปยังกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้ดำเนินการช่วยเหลือแรงงานแล้ว

ขณะเดียวกัน ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีรัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เล่าว่า รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนกว่า 3.3 หมื่นราย ทั้งทางผู้ประกอบการโดยตรง หรือจะเป็นผู้ที่ซื้อคูปอง และมีถึง 1.29 แสนคูปองที่เสียหาย มูลค่าไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท

ด้านผู้ประกอบที่เสียหาย ก็แบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ ผู้ประกอบการที่ลงแฟรนไชส์กับอีกกลุ่ม คือ กลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อคูปองแล้วไม่ได้ใช้บริการ ตอนนี้ก็กำลังดำเนินการ แยกประเภทอยู่ว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชนอย่างไร ตอนนี้มีทางเลือกให้ผุ้ก่อเหตุอยู่ 2 ทาง จะคืน หรือจะคุก ถ้าคืนมาก็ยังทัน ตอนนี้ก็เร่งดำเนินการเอกสารให้ทาง DSI รับเป็นเลขสืบสวนเลย พอเป็นเลขสืบสวนแล้วเราจะสามารถหยุดทุกอย่างเกี่ยวกับการเงินของเขาได้ ส่วนเรื่องที่เขาเดินทางไปต่างประเทศ ก็จะประสานดูว่าพาสปอร์ตของเขาเหลืออายุอีกเท่าไหร่ ถ้ามันหมดแล้ว ทีนี้มันง่ายเลย เราจะส่งเรื่องไปที่ปลายทางให้ส่งตัวเขากลับมาเลย

ขณะที่ พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ รองเลขาธิการ สคบ. กล่าวว่า ทราบเรื่องตั้งแต่เช้าวันที่ 18 มิ.ย. 65 เริ่มมีการปิดกิจการ จึงมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้เสียหายมาร้องเรียนที่เว็บไซต์ ส่วนทางด้านผู้ก่อเหตุมีการสืบทราบแล้วว่าเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ที่ประเทศดูไบ ตั้งแต่คืนวันที่ 16 มิ.ย. 65

สำหรับเคสนี้ ทราบว่าเขามีเจตนาพิเศษโดยเร่งระดมทุน เร่งทำคูปอง และมีการค้างค่าเช่าสถานที่ผู้ประกอบการบางส่วน และการระดมทุนของเขาเป็นการระดมทุนแบบมีเลศนัย ก็คือการจัดโปรโมชัน ลดราคาจาก 499 เหลือ 199 บาท ซึ่งมันไม่สามารถเป็นไปได้ จะเกิดการขาดทุน เจตนาพิเศษตรงนี้ ก็อาจจะเข้าเจตนาหลอกลวง

ติดตาม รายการ “ถกไม่เถียง” ดำเนินรายการโดย “ทิน โชคกมลกิจ” ภายใต้การผลิตของบริษัท เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ได้ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 17.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และสามารถรับฟังผ่านทาง hitz955.com