วรรณกรรมวันนี้ เราขอนำเสนอหนังสือดี ๆ ให้กับผู้ที่กำลังตามหาศรัทธาในชีวิต หนังสือเล่มนั้นมีชื่อเรื่องว่า ‘Demian’ (เดเมียน) จากปลายปากกาของ Hermann Hesseนักเขียนวรรณกรรมร่วมสมัยช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20
Hermann Hesse ได้สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงมากมายจนเป็นแรงบันดาลใจให้คนหลายยุคหลายสมัยจนปัจจุบัน อย่างเช่น เป็นที่อ้างอิงในมิวสิควิดีโอเพลง Blood, Sweat & Tears ของวง BTS ที่ทำเหล่าอาร์มี่ตีความจนหัวแทบระเบิดมาแล้ว เราเองได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว จึงอยากนำมารีวิว
ส่วนที่สองคือการรีวิว DEMIAN
หนังสือเดเมียนเล่าเรื่องราวการเดินทางค้นหาตนเองของ ซินแคลร์ ตั้งแต่วัยเด็กประถม จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในวรรณกรรมบรรยายถึงความรู้สึกสับสนในตัวเองของซินแคลร์ ว่าฉันคือใคร ฉันควรศรัทธาอะไร และควรเลือกเส้นทางไหนในชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์เคยเผชิญ หรือบางคนกำลังเผชิญอยู่ ทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครได้ง่ายขึ้น
ซินแคลร์ในวัย 10 ปี ได้บอกว่าโลกรอบตัวเขามีอยู่สองใบ นั่นก็คือ “โลกด้านสว่าง” โลกที่มีอาหารเต็มโต๊ะ เสื้อผ้าที่สวมใส่อย่างสะอาด มีการสวดมนต์กับครอบครัว มีเตาผิงอุ่นๆ มีงานฉลองคริสมาสต์ มันคือโลกที่ซินแคลร์ถูกเลี้ยงดูมา อีกโลกคือขั้วตรงข้าม “โลกด้านมืด” โลกที่มีข่าวอื้อฉาว เสียงทะเลาะตบตี ทำร้ายร่างกาย ขโมยในตลาด คนลอบวางเพลิง คนเล่นไสยศาสตร์ สิ่งลี้ลับและฆ่าตัวตาย
แม้โลกทั้งสองจะตรงข้ามสุดขั้ว แต่มันกลับใกล้ชิดกัน ในบ้านของซินแคลร์ ก็มีทั้งสองโลก เช่น ตอนที่คนรับใช้ร่วมสวดมนต์กับครอบครัวด้วยใบหน้าอิ่มเอมใจ เธอเป็นคนในโลกเดียวกับพ่อแม่ของซินแคลร์ แต่เมื่อเธอกลับเข้าครัว เธอก็เล่าเรื่องที่น่าหวาดกลัวให้เขาฟัง หรือโต้เถียงกับเพื่อนบ้าน เธอดูกลายเป็นคนอีกโลกไปทันที
โลกสองใบสามารถกระโดดข้ามไปมาได้เสมอ คนที่เติบโตมาในโลกหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในโลกนั้นเสมอไป ซินแคลร์เป็นตัวแทนอย่างดีถึงธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นที่สัญชาตญาณในตัวของมนุษย์ ริเริ่มอยากลองทำสิ่งใหม่ๆ หรือเดินเข้าหาอันตราย เพราะมันทำให้รู้สึกตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา ซินแคลร์เริ่มต้นจากโกหกเรื่องขโมยแอปเปิ้ล จนกลายเป็นเขาไปขโมยมาจริงๆ เขากลับมารู้สึกสำนึกเสียใจจากใจจริงจึงสารภาพและกลับสู่โลกสว่างอีกครั้ง แต่ไม่นานก็โดดกลับไปโลกมืด ถลำลึกลงกว่าเดิมเพราะรู้สึกหลงทางในนั้น แล้วก็กลับสู่โลกสว่างอีกครั้งเมื่อเจอกับ ‘เบียทริส’ หญิงสาวที่เขาตกหลุมรัก
ซินแคลร์ โดดข้ามไปมาระหว่างโลกด้านมืดและด้านสว่างเป็นว่าเล่น มันทำให้เขารู้สึกสับสนและไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เขาอยากอยู่ในโลกที่มีศีลธรรมเดียวกันกับพ่อแม่ แต่บางครั้งสัญชาตญาณของเด็กหนุ่มก็เรียกร้องให้เข้าสู่โลกอันตราย ไม่เพียงแต่ซินแคลร์ ในหนังสือยังเล่าเรื่องราวของเด็กคนอื่นๆ ที่รู้สึกเช่นเดียวกัน สำหรับบางคนมันกลายเป็นความทรมานจนหาทางปลิดชีวิตตัวเองลง
เราจะมาพูดถึงในเรื่องของ การตีความพระคัมภีร์แบบต้องห้าม
( https://hmong.in.th/wiki/Cain_and_Abel )
บทเรียนหนึ่งในชั้นเรียนของซินแคลร์คือ เคนและอาเบล (Cain & Abel) ซึ่งเป็นลูกของอีฟและอาดัม เคนทำอาชีพเพาะปลูก ส่วนอาเบลน้องชายเป็นคนเลี้ยงแกะ เมื่อสองพี่น้องทำการบูชายัญ พระเจ้ารับแต่ของสังเวยจากอาเบล แต่เคนกลับถูกปฏิเสธ เคนโกรธมากจึงฆ่าน้องชายทิ้ง พระเจ้าจึงลงโทษเนรเทศเคน เคนได้อ้อนวอนต่อพระเจ้าให้ทำเครื่องหมายไว้ที่หน้าผากเขา เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นฆ่าเขา
การตีความของพระคัมภีร์เก่าคือ อาเบลเป็นคนดีที่พระเจ้ารัก ส่วนเคนเป็นคนชั่วร้ายที่ฆ่าน้องชายตัวเอง แต่เดเมียนตั้งคำถามและนำมาเล่าตีความแบบใหม่ที่เปิดโลกให้ซินแคลร์ฟัง “ตราของเคนคงไม่ใช่ตราที่เห็นชัดๆ เหมือนป้ายบอกทาง แต่คงหมายถึงอะไรประกายบางอย่างที่อยู่บนใบหน้า อาจเป็นความกล้าและปัญญาสะท้อนจากนัยน์ตาที่มีมากกว่าคนทั่วไป และเขาก็เป็นคนแข็งแกร่งจริงๆ ทำให้คนอื่นไม่กล้ายุ่ง คนอ่อนแอมักหวาดกลัวคนที่แข็งแกร่ง พวกเขาจึงสร้างเรื่องร้ายๆ อย่างมีอคติเพราะความหวาดกลัว”
การที่เดเมียนเล่าให้ซินแคลร์ฟัง มันไม่ใช่การบอกให้เชื่อว่าเคนเป็นคนดีนะ แต่เดเมียนกำลังสอนให้เขาลองคิดในหลายๆมุม มองโลกให้หลากหลายด้าน คิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง และไม่ปักใจเชื่อเพียงเพราะเขาเล่าต่อกันมากว่าหลายศตวรรษ
เราจะมาเล่าต่อในเรื่องของ อะบราซัส ผู้เป็นทั้งพระเจ้าและซาตาน
( https://twitter.com/atomtom_rx/status/775366425019940864 )
ในตอนที่ซินแคลร์กำลังสับสนหลงทาง โดดไปมาระหว่างโลกด้านสว่างและโลกด้านมืด เขาก็ได้รู้จักชื่อของ “อะบราซัส” จากเดเมียน อะบราซัสเป็นทั้งพระเจ้าและซาตานในร่างเดียวกัน เปรียบเสมือนโลกด้านสว่างและโลกด้านมืดที่ปนกัน สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
“ผมพยายามอย่างสุดความสามารถอีกครั้ง จะสร้างโลกสว่าง ของผมขึ้นมาใหม่ สร้างจากซากปรักหักพังของชีวิตที่รันทดของตัวเองอีกครั้ง ที่ผมมีชีวิตอยู่ด้วยจุดหมายเพียงอย่างเดียว คือขจัดความมืดมนและความชั่วช้าในตัว ไขว่คว้าหาโลกสว่างกลับมา ผมยอมคุกเข่าต่อหน้าพระเจ้า โลกสว่าง นี้ค่อยๆ กลายเป็นส่วนสร้างของผมเอง นี่ไม่ใช่การหนี ไม่ใช่การคลานกัลไปสู่อ้อมอกแม่และโลกปลอดภัยที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ นี่คือการรับใช้อย่างใหม่ การรับใช้ที่ผมปรารถนาและได้ค้นพบด้วยตัวเอง”
คำกล่าวนั้นคือจุดเริ่มต้นการค้นพบตัวเองของซินแคลร์ นิยามของโลกสว่างนี้เปลี่ยนไป ไม่ได้หมายถึงโลกของพ่อแม่ แต่โลกด้านสว่างใหม่ของซินแคลร์สร้างจากศรัทธาของตัวเอง ยกย่องแสงสว่าง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความมืด รู้จักสมดุลของทั้งสองสิ่ง การยอมรับทั้งสองด้านในตัวเองทำให้เขารักตัวเองได้อย่างแท้จริง ซินแคลร์ค้นพบตนเอง พบความชัดเจนในชีวิต รู้เป้าหมาย ไม่ต้องสับสนโดดไปมาระหว่างสองโลกและเกลียดตัวเองอีกต่อไป
ถึงแม้ชื่อเรื่องจะชื่อว่าเดเมียน แต่ตัวเอกของวรรณกรรมนี้คือ ซินแคลร์ เดเมียนนั้นจะโผล่มาก็แค่บางตอนจริงๆ แต่เวลามาก็เป็นความเหลือเชื่อ เพราะเขาจะคอยแนะนำสิ่งต่างๆให้กับซินแคลร์เสมอ ให้ได้ค้นพบของตัวเองจริงๆ เดเมียน เปรียบเสมือน Guardian Angel ประจำตัวของซินแคลร์เลยก็ว่าได้ แล้วทำไมเดเมียนต้องคอยช่วย เพราะเขาเห็นตราบนหน้าผากของซินแคลร์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ รู้ว่าซินแคลร์เป็นคนพิเศษที่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่รู้ก็ตาม
เดเมียนเป็นวรรณกรรมที่ดีมาก ทำให้รู้สึกในขณะที่อ่านว่า เราไม่จำป็นต้องเดินทางนั้น ต้องทำแบบนี้ ต้องคิดแบบนู้น แต่มีเกร็ดเล็กๆให้เราได้วิเคราะห์ไปกับตัวละคร จนเราค้นพบตัวเองในที่สุด
**เดเมียนเป็นวรรณกรรมที่ต้องใช้สมาธิสูงมากๆในการอ่าน เพราะทุกประโยคมีความหมายที่ลึกซึ้ง และคนอ่านสามารถตีความออกมาได้ไม่เหมือนกันเพราะนั่นอยู่ที่ตัวของคนอ่านริงๆค่ะ สำหรับใครที่อยากหาหนังสือแนววรรณกรรมที่ไม่น่าเบื่อ แนะนำ Demian เลยค่ะ
Demian
Hermann Hesse
วรรณกรรม
รีวิวหนังสือ
รีวิววรรณกรรม
ซินแคลร์
วงBts
เอมิล ซินแคลร์
โลกด้านสว่าง
โลกด้านมืด
เทพกรีก
เดเมียน