วันที่ 13 ม.ค.65 นายธนากร ดำช่วย หรือ เปรม หนุ่มที่ถูกทำร้าย พร้อมด้วย นางสุดารัตน์ ดำช่วย หรือ น้อย แม่ของผู้บาดเจ็บ เปิดใจผ่านรายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ว่า วันที่เกิดเหตุ 19 ธ.ค.64 แม่นั่งล้างจานอยู่ ผู้ก่อเหตุมาจอดรถหน้าบ้าน แล้วเดินตรงดิ่งมาหาแม่ พร้อมตะโกนว่า วันนี้จะมาแทงเปรมให้ตาย พอแม่ได้ยินก็หยิบโทรศัพท์เพื่อหวังบันทึกเหตุการณ์ แต่ไม่ทันแล้ว ผู้ก่อเหตุเดินตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของเปรม ในมือพกมีดมาด้วย แล้วเข้าไปทำร้ายเปรม แต่แม่ตามไม่ทัน เลยวิ่งกลับมาที่ห้องกลางบ้าน เพราะเข้าใจว่าลูกจะต้องหนีมาที่ห้องกลาง แล้วลูกชายก็หนีมาที่ห้องกลางจริง โดยมีผู้ก่อเหตุวิ่งตามมา แม่จึงตัดสินใจผลักผู้ก่อเหตุ พยายามทำทุกอย่างไม่ให้เขาเข้าใกล้ลูก ซึ่งระหว่างนั้นแม่สามารถถ่ายคลิปเอาไว้ได้ ตอนนั้นรู้สึกกลัวมาก พยายามทำยังไงก็ได้ไม่ให้เขาเข้าถึงตัวลูกได้ คิดไปแต่ว่าถ้าเขาก่อเหตุสำเร็จจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเขามีอาวุธมีด แต่ทางฝั่งเราไม่มีอาวุธอะไรเลย
เปรม เล่าว่า ตอนที่เกิดเรื่อง ตนนอนหลับอยู่ในห้องนอน สักพักก็รู้สึกเจ็บที่หัว ตกใจตื่นเห็นเขากระทืบลงมาที่หัวเลย ตอนนั้นเขาตะโกนด้วยว่า "มึงปล่อยให้กูรอ" เลยรู้เลยว่าคนก่อเหตุคือใคร เพราะก่อนหน้านั้น เขามาหาที่บ้านแล้วบอกให้ไปหาที่ร้านจะให้ไปตัดหญ้าให้หน่อย แต่ตนไม่ได้ไปหาเขา ตนเป็นลูกจ้างเขา ได้เงินเป็นรายวัน วันละ 150 บาท ตอนแรกเข้าใจว่าจ้างกวาดถูร้านเฉยๆ แต่กลับโดนใช้ทำทุกอย่าง ตอนที่เกิดเรื่องยังไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย ลืมตามาก็เป็นไปตามคลิป ตอนนี้ยังมีอาการเหมือนมีน้ำอยู่ในหูตลอด หมอบอกเยื่อแก้วหูฉีก ซึ่งตนเองเคยโดนเขาทำร้ายมาแล้วครั้งนึงที่ร้านตัดผมของเขา ผู้ก่อเหตุใช้ให้ตนช่วยเขาซ่อมรถ แต่ด้วยความที่ตนไม่ได้เป็นช่างเลยทำไม่เป็น เลยโดนเขาต่อย นอกจากเขาจะให้กวาด ถู ร้านให้แล้ว เขายังให้เอาผ้าเขามาซักให้ด้วย ตนต้องแบกตะกร้าผ้าเขามาซักที่บ้าน ที่ต้องยอมทำเพราะกลัวเขาทำร้าย ในใจลึกๆ ไม่อยากจะเข้าไปที่ร้านเขาเลย ตอนนี้ก็กลัวเขาจะกลับมาทำร้ายอีก หลังเกิดเหตุเขาเคยโทรมาหา ให้ตนยอมรับว่ามีดที่เขาพกไปนั้นคือมีดขอตน เรื่องนี้เคยโทรไปปรึกษาน้องชายเขาอยู่ เพราะตนสนิทกับน้องชายเขา น้องชายเขายังบอกเลยว่าตลกว่ะ
นางน้อย เผยว่า หลังจากนั้นเรารีบไปแจ้งความ ทางตร.ถามผู้ก่อเหตุคือใคร เราก็บอกชื่อเล่นของเขา ร้านตัดผม แล้วก็ร้านของยายเขาไป ทางตร.แจ้งให้เราไปตรวจร่างกายก่อน แล้วให้ร้อยเวรลงพื้นที่ไปที่บ้าน พอเก็บข้อมูลที่เกิดเหตุแล้ว ตร.ก็ถามว่าเราจะเคลียร์กันเองไหม ซึ่งเรายืนยันเดินหน้าแจ้งความเอาผิด ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
หลังจากที่ไปแจ้งความแล้ว ยายของผู้ก่อเหตุ ก็มาหาเพื่อขอให้เราไปถอนแจ้งความ เพราะหลานรับปากแล้วว่าจะไม่ทำอีก พร้อมฝากขอโทษ อยากให้เรื่องจบไป แต่ทางเรายืนยันไม่ถอนแจ้งความ ทำให้ยายผู้ก่อเหตุเริ่มพูดไม่ดีใส่ มีการขึ้นมึงกู ก่อนเขาจะกลับไป ต่อมาเขาก็ได้โทรมาอีกบอกว่าผู้ใหญ่คุยกันแล้ว ทำไมยังไม่จบอีก มึงอยากดังอีกใช่ไหม เดี๋ยวกูจัดให้ เขาไม่เคยบอกว่าจะพาผู้ก่อเหตุเข้ามาขอโทษ มีแต่บอกให้เราไปถอนแจ้งความอย่างเดียว
ทางรายการ จึงได้ติดต่อไปยัง นางบวย เฮงประโคน ยายของผู้ก่อเหตุ เพื่อสอบถามเรื่องราวของอีกฝั่ง โดยนางบวย ยืนยันว่าไม่ได้ข่มขู่ให้ถอนแจ้งความแต่อย่างใด เขาอยากพูดอะไรก็พูดไป ถ้าพูดแล้วสบายใจก็ปล่อยเขา เรามองว่าเป็นเรื่องของเด็ก ไม่อยากให้มันบานปลาย ลูกหลานเราไม่ดีเอง ก็ยอมรับ เราเคยไปขอร้องเขาแล้ว แต่กลับมาว่าเราไปข่มขู่ ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถ้าใครผิดก็จัดการไปตามกฎหมายได้เลย
ด้าน ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล หรือ ทนายแก้ว รองประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้คำแนะนำด้านกฎหมายถึงกรณีนี้ว่า ตร.ต้องรับแจ้งความในทันที เพราะรู้ตัวผู้ต้องหาชัดเจน เพื่อเป็นการป้องกันผู้ต้องหาหลบหนี เรื่องนี้เหตุมันเกิดขึ้นจริง เราควรจะคุยเพื่อหาทางออกของปัญหา ในเมื่อยายคือผู้ปกครองของหลาน ยายก็ควรจะมาคุยเรื่องการเยียวยาผู้เสียหายก่อน แม้คดีจะดำเนินไป แต่การไกล่เกลี่ย มันสามารถทำได้ตลอด คดีนี้เป็นคดีอาญาแผ่นดิน มีโทษสูง มีทั้งบุกรุก ทำร้ายร่างกาย อาจมีพยายามฆ่าเข้ามาเกี่ยวข้อง แถมมีเรื่องของการทำร้ายจนอาการสาหัส เนื่องจากมีการรักษาเกิน 20 วัน ทั้งยังมีอาการบาดเจ็บทางหูอยู่ ซึ่งมันไม่สามารถยอมความได้ แต่ว่าสามารถขอลดหย่อนโทษ บรรเทาค่าเสียหายได้ โดยการเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายช่วยแถลงในชั้นศาล
สำหรับความคืบหน้าทางด้านคดีนั้น พ.ต.อ.กัมพล วงษ์สงวน ผกก.สภ.บ้านกรวด เผยว่า ตอนนี้ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา และทำแผนประกอบคำรับสารภาพเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้น ทางตร.แจ้งข้อหาบุกรุก ทำร้ายร่างกาย พกพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะ และกรณีที่สื่อบางช่องกล่าวว่าเป็นหลานของนายกเทศบาลตำบลบ้านกรวด สรุปแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ส่วนข่าวที่บอกว่าผู้ต้องหาหลบหนีไปภูเก็ต นั้นไม่จริง อันที่จริง ตร.ได้เฝ้าตัวเขาอยู่แล้ว แต่เพราะแม่ของผู้ต้องหาติดโควิด และเขาได้ไปกักตัวอยู่ที่ชลบุรี ผู้ต้องหาจึงมีความเสี่ยงสูง ขณะเดียวกัน ตร.ก็คอยเฝ้าระวังเขาอยู่ ส่วนการที่จะแจ้งข้อหาใด ขึ้นอยู่ที่การให้การของคู่กรณีและผู้ต้องหา หาก พนง.สอบสวนพบว่ามีความผิดที่เข้าข่ายเขาก็จะแจ้งข้อหา หากไม่พบ ก็จะไม่แจ้งข้อหาเกินความผิด และมันไม่ใช่เหตุซึ่งหน้าทำให้ทางตร.ไม่สามารถจับผู้ก่อเหตุได้หากไม่มีหมายจับ ตอนนี้ได้มีการปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราว เนื่องจากผู้ต้องหามามอบตัว และตอนนี้อยู่ระหว่างกักตัวเนื่องจากการเป็นกลุ่มเสี่ยงโควิด