นักธุรกิจสาวร้องขอความช่วยเหลือ หลังถูกอดีต ส.ส.พรรคดัง หลอกร่วมลงทุนธุรกิจแก๊สหุงต้มใน สปป.ลาว จนสูญเงินไปกว่า 1.45 ล้านบาท หวั่นคดีไม่คืบ พบประวัติมีคดีฉ้อโกงติดตัวถึง 2 คดี
วันที่ 12 ม.ค.65 น.ส.จุฑาวรรณ โช หรือ เนย เปิดใจผ่านรายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ว่าที่ออกมาร้องเรียนนั้นตอนแรกยอมรับว่ากลัว เพราะเลขาฯ ของอดีต ส.ส. คนนี้เคยเตือนมาว่า ถ้าออกเป็นข่าว จะไม่ได้เงินคืน แต่ถ้าไม่ออกมาพูด ไม่เรียกร้องให้ตัวเอง ก็คงไม่ได้เงินคืน หลังเป็นข่าวก็ยังไม่มีการติดต่อมา เราพยายามติดต่อไปยัง อดีต ส.ส.คนดังกล่าว ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ
โดย คุณเนย เล่าจุดเริ่มต้นของการถูกหลอกในครั้งนี้ว่า รู้จักกับลูกสาว อดีต ส.ส.คนนี้ ผ่านทางเฟซบุ๊ค เห็นเขาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการทำธุรกิจกลุ่มแก๊สหุงต้มที่ สปป ลาว ตอนนั้น เราเพิ่งลาออกจากงานมาใหม่ๆ เลยอยากเริ่มธุรกิจของตัวเอง ก็เห็นว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ เป็นสาธารณูปโภคที่ทุกคนเข้าถึง ใครๆ ก็ต้องใช้แก๊ส เลยตัดสินใจทักไปหาเขา ถามถึงรายละเอียดของธุรกิจ เขาจึงแนะนำให้รู้จักกับพ่อของเขา ซึ่งเป็นนักการเมือง มีการแจกแจงรายละเอียดเรื่องธุรกิจตัวนี้ ว่ามีการเติบโตไปขนาดไหนแล้ว หลังจากนั้น ได้มีการตั้งกลุ่มไลน์ ซึ่งมี ลูกสาวอดีต ส.ส. ตัว อดีต ส.ส.เอง และ เรากับสามี รวมกัน 4 คน ในกลุ่มไลน์นั้น และได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจดังกล่าว มีการส่งภาพแก๊ส ภาพนามบัตร ส.ส. แนะนำตัวว่าเป็นอดีต ส.ส.รู้จักคนกว้างขวาง เราเห็นว่าเขาเป็นคนมีชื่อเสียง ไม่น่ามาหลอกลวงเรา และนอกจากมีธุรกิจแก๊ส เขายังอ้างว่ามีธุรกิจอื่นๆ อย่างสวนปาล์ม โรงโม่หิน เบียร์ลาว เราเลยตัดสินใจร่วมลงทุนด้วย
โดยเขาให้เราโอนเงินให้ แล้วเขาจะไปทำธุรกิจให้ ไปเปิดหน้าร้าน ซื้อของให้ แล้วจะให้เราเป็นดีลเลอร์รายใหญ่ของที่ สปป ลาว ซึ่งเขาให้เราโอนเงินผ่านบัญชีของลูกสาวเขา โดยโปรเจคนี้ทั้งหมดประมาณ 800,000 บาท ยอดโอนแรกเราโอนไป 300,000 บาท และทยอยโอนไปอีกรวมแล้วประมาณ 650,000 บาท พอเริ่มธุรกิจไม่ทันไร เขาก็อ้างว่าที่ลาวการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรง ยังดำเนินการอะไรไม่ได้ อาจต้องปิดร้านก่อน เราเลยรอตามที่เขาบอก แล้วปิดร้านยาวเรื่อยมา ทั้งที่ยังไม่ได้เปิดขายเลย เราก็โทรตามตลอดว่าเป็นยังไง สถานการณ์ดีขึ้นรึยัง รอจนจะหมดสัญญาเช่าแล้ว จนเรื่องมาแดง เพราะเราส่งรูปร้านแก๊สที่ สปป ลาว ไปให้น้องที่อยู่ใน สปป ลาว ช่วยดูว่าร้านนี้อยู่ที่ตรงไหน ซึ่งน้องคนนี้ก็ช่วยไปดูให้ น้องบอกว่าพอไปถึงหน้าร้านเหมือนว่าในร้านไม่มีอะไร ลักษณะมืดๆ น้องเลยไปขอเบอร์เจ้าของบ้านมาให้ เจ้าของบ้านเลยจะไปดูให้ว่าร้านที่เช่าเป็นยังไง พอเจ้าของบ้านไปดูให้ ปรากฎว่าภายในร้านไม่มีสินค้าเลย ทำให้เราตกใจ เลยทักไปหา อดีต ส.ส.คนดังกล่าว ว่าทำไมเอาของไปไม่แจ้งเรา เขาอ้างว่าเขาเอาออกไปขายก่อน เพื่อจะเอาเงินมาให้เรา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินสักบาท ตอนนั้นพอรู้เรื่อง เราก็เลยขอยกเลิกสัญญา เขาก็อ้างว่าขอไปดูบัญชีก่อน แล้วจะเคลียร์ให้ เราก็รอแล้วรอเล่า ก็ไม่มีการกำหนดวันคืนเงิน จนหายเงียบไป เราก็ตามมาตลอดตั้งแต่ปี 63-64 จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้คืน แถมบ่ายเบี่ยงไม่คุยกับเรา โยนให้ไปคุยกับเลขาฯ แทน
ส่วนเรื่องที่โดนหลอกเงินไปอีก 800,000 บาท นั้น เกิดขึ้นในช่วงก่อนที่จะมีปัญหาร้านแก๊ส เขาโทรมาหาเราทางไลน์ บอกว่ามีธุรกิจอีกตัวนึง โดยอ้างว่าน้องสาวเขาได้ชนะประมูลบ้านจัดสรรที่ สปป ลาว เลยจะไปเปิดร้านขายของชำที่ไซต์งานก่อสร้างตรงนั้น เขาบอกว่าอยากให้เรามีรายได้ เลยอยากให้เราไปร่วมลงทุนด้วย ตอนแรกเราก็ปฏิเสธไปก่อน เพราะเราเพิ่งลงทุนธุรกิจแก๊สไป 6 แสนกว่า เขาก็ตื้ออยู่หลายรอบ ยื่นข้อเสนอให้เราบอกว่าจะปันผลให้ 10% ต่อเดือน ตามจำนวนเงินที่เราลงทุนไป แต่เราก็ยังปฏิเสธอยู่ เพราะเราก็ต้องใช้เงิน เขาก็เลยบอกเราว่า ถ้าเราต้องการเงินคืนเมื่อไหร่ ขอคืนได้เลย เขาบอกว่าเรื่องเงินนี่มันเล็กน้อยสำหรับเขา แต่ที่มาชวนเราลงทุนเพราะอยากให้เรามีรายได้ เขาบอกว่าเอ็นดูเราเหมือนลูก จนเรายอมร่วมลงทุน ทุกครั้งที่ขอเงินเพิ่ม เขาจะอ้างว่าขายดี เราโอนเงินไปทั้งหมด 3 ครั้ง รวมแล้ว 800,000 บาท รวมกับของเก่าที่โอนไปลงทุนธุรกิจแก๊ส เสียหายไปทั้งหมด 1.45 ล้านบาท
นอกจากนี้ ด้วยความที่เราเชื่อใจเขา เราเลยโทรไปหาญาติเรา เป็นคุณลุง ชักชวนมาร่วมลงทุนด้วย โดยโอนเงินมาให้เราแสนห้า แต่พอถึงคราวปันผลครั้งแรก กลับไม่ได้รับเงินปันผล ลุงเลยขอยกเลิก เราเลยโทรไปถามอดีต ส.ส. คนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาอ้างว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไทย เขาต้องกลับไปที่ สปป ลาวก่อน เขาถึงจะเบิกเงินที่ สปป ลาว จากนั้นถึงจะโอนต่อมาให้เราได้ ทำให้เราตัดสินใจควักเงินตัวเองคืนคุณลุงก่อน โดยคืนทั้งเงินต้น และเงินปันผลให้ด้วย
หลังจากนั้น สามีเราก็ได้มีการไปหาข้อมูลเกี่ยวกับ อดีต ส.ส.ท่านนี้พบว่าเคยมีคดีติดตัวมาแล้ว 2 คดี คือ เมื่อปี 2558 มีความผิดตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวและฉ้อโกง และปี 2563 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง” หลอกสั่งซื้อไวน์ในสต๊อกมีผู้เสียหายมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 คดีเป็นคดีฉ้อโกงทั้งสิ้น หลังจากทางนั้นรู้เรื่องที่เราสืบประวัติ เขาก็โมโห และบอกให้เราอยู่นิ่งๆรออย่างเดียว แล้วบอกว่าทั้ง 2 คดี เป็นเรื่องเข้าใจผิด
สุดท้าย เราก็ไปแจ้งความที่ สน.สายไหม ทางตำรวจแจ้งว่ามีการส่งหมายเรียกไปแล้ว จนผ่านมา 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่คืบหน้า นอกจากเราจะติดต่ออดีต ส.ส.ยากแล้ว ตอนนี้ก็ติดต่อตำรวจที่ทำคดียากไปด้วย โทรหาก็ไม่ค่อยรับ เลขาของอดีต ส.ส. เคยโทรมาหาเรา บอกกับเราว่าเขาจะมาดูแลเรื่องเงินนี้แทน เราไม่ต้องไปตามทวงกับอดีต ส.ส. หรือลูกสาวเขาแล้ว ให้ตามกับเลขาแทน เราก็โอเค ตามทวงกับเขา แต่เขาก็ยังบ่ายเบี่ยง อ้างไปต่างๆนานา แต่มีครั้งนึง เขาเคยโทรมาขอเบอร์ ตำรวจเจ้าของคดี(คนเก่า) โดยบอกว่าจะเอาไปให้ อดีต ส.ส. คุย ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าเขาไปคุยอะไรกัน ซึ่งหลังจากนั้น เราก็เริ่มติดต่อตำรวจยากขึ้น โทรไปไม่ค่อยรับสาย แต่ตอนนี้ก็มีพนง.สอบสวนคนใหม่มาดูแลคดีนี้แทนแล้ว
นายไชยา คุ้มอ่ำ หรือ ทนายป้อม ที่ปรึกษากฎหมายกลุ่มทนายใจดี เผยถึงข้อกฎหมายในคดีนี้ว่า เมื่อมีการขายสินค้าให้ผู้เสียหายไปแล้ว เขาจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายก่อน ถึงจะเอาสินค้าไปขายได้ เขาไม่สามารถนำสินค้าออกไปขายตามอำเภอใจได้ และที่ลูกสาวของอดีต ส.ส.ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ตามข้อมูล มีการสร้างกลุ่มไลน์ ในไลน์กลุ่มนั้นก็มีลูกสาวอยู่ด้วย มีการพูดคุย ให้เลขบัญชี แล้วลูกสาวจะมาบอกตอนหลังว่าเขาไม่เกี่ยวกับพ่อ มองว่ามันไม่ใช่ และหลังจากที่ผู้เสียหายได้มีการไปแจ้งความ ทางตำรวจได้ออกหมายเรียกไปแล้วในครั้งที่ 1 ซึ่งหมายเรียกนั้นมีการกำหนดระยะเวลา ถ้าหมาย 1 ไปแล้วไม่มา ก็สามารถออกหมาย 2 ได้เลย
สำหรับกรณีนี้ ผิดเต็มๆอยู่แล้ว แต่เขาอาจจะต่อสู้ว่าเป็นสัญญาทางแพ่ง แต่เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าข้อมูลที่เขาให้เป็นความจริง ถ้าข้อมูลต่างๆที่เขาเคยให้เรามาเป็นข้อมูลเท็จ ก็เข้าข่ายฉ้อโกงแน่นอน กรณีนี้ เขาอาจจะอ้างว่าธุรกิจดำเนินการที่ต่างประเทศ แต่การทำนิติกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นในไทย ข้อตกลงและการโอนเงินเกิดขึ้นที่ไทย คู่กรณีก็เป็นคนไทย ฉะนั้นต้องใช้กฎหมายไทยจัดการ จริงๆ ความผิดฉ้อโกงส่วนตัวแบบนี้สามารถยอมความกันได้ แต่ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ ทางผู้เสียหายจะเดินทางไปแจ้งความคดีอาญา ซึ่งยอมความไม่ได้ ซึ่งจะไม่ใช่การประนีประนอมอีกต่อไป
ขณะที่ พ.ต.อ.อำนาจ กาหลง ผกก.สน.สายไหม เผยถึงคดีนี้ว่า คดีมันก้ำกึ่งระหว่างฉ้อโกง หรือยักยอกทรัพย์ ซึ่งจะต้องเชิญผู้เสียหายเข้าไปให้ข้อมูลเพ่ิมเติม ส่วนประเด็นที่ว่าคู่กรณีเป็นคนมีอำนาจ ยืนยันว่าไม่ต้องกังวล หากพบว่าผิดจริงฟันไม่เลี้ยงแน่นอน
สรุปผลโพล คุณคิดว่า ผู้เสียหายจะได้เงินคืนหรือไม่?
ติดตาม รายการ “ถกไม่เถียง” ดำเนินรายการโดย “ทิน โชคกมลกิจ” ภายใต้การผลิตของบริษัท เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ได้ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 17.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และสามารถรับฟังผ่านทาง
hitz955.com