พ่อแม่ปล่อยโฮ จ้างกู้ภัยรับลูก ซิ่งสยองฝ่าไฟแดง ลูกชายดับคาที่ ลั่นอยากได้เงินก็ไปฟ้องเอา!

       วันที่ 11 ม.ค.65 นายก๊อลฟ สาคร พ่อของเด็กที่เสียชีวิต พร้อมด้วย น.ส.เพ็ญศิริ กลีบจำปี แม่ของเด็ก และ นายเสถียร สาคร ปู่ของเด็ก ร้องผ่านรายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เมื่อช่วง ต.ค.64 ทั้งพ่อและแม่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนน้องฟีฟ่า ลูกชายวัย 3 ขวบ ไม่ติดเชื้อ ทำให้ทั้งพ่อและแม่ ต้องเข้ารับการรักษา แต่ไม่สามารถพาน้องฟีฟ่าไปด้วยได้ จึงลองติดต่อไปยังเพจกู้ภัยแห่งหนึ่ง เพื่อจะให้ช่วยเหลือพาลูกชายกลับบ้านที่ร้อยเอ็ด เพื่อไปอยู่กับญาติ โดยมีการคิดค่าจ้าง 4,000 บาท แต่ขอต่อรองจนเหลือ 3,500 บาท ซึ่งวันที่นัดให้มารับ ในรถมีคุณตา คุณป้า น้องฟีฟ่า และ คนขับซึ่งเป็นกู้ภัย ไปพร้อมกัน โดยออกจาก จ.นนทบุรี ไปตอนตี 4 ตอนประมาณ 9 โมงกว่า คาดว่าลูกน่าจะถึงบ้านแล้ว จึงโทรหาพี่สาว (ป้าของเด็ก) พี่สาวได้แต่เงียบ จนเราถามว่าลูกหลับอยู่เหรอ พี่สาวก็ร้องไห้ออกมา แล้วบอกว่าลูกเสียแล้ว เนื่องจากรถกู้ภัยที่นั่งมาฝ่าไฟแดง ส่วนคุณตา และคุณป้าบาดเจ็บนิดหน่อย ช่วงที่เกิดอุบัติเหตุ ทางฝั่งคุณตาก็ถามกู้ภัยตลอดว่าทำไมต้องฝ่าไฟแดงตลอด เขาก็อ้างว่ากำลังนำส่งผู้ป่วยโควิด-19 เลยต้องรีบขับ แต่น้องฟีฟ่าไม่ได้เป็นโควิด เป็นแค่กลุ่มเสี่ยง และเขายังอ้างอีกว่าเป็นกู้ภัยสามารถขับฝ่าไฟแดงได้ จนสุดท้ายก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น 

 

 

 

        ซึ่งวันที่น้องเสีย ทั้งพ่อและแม่ ก็ไม่มีโอกาสได้ไปเห็นหน้าน้อง เพราะต้องกักตัวจากการติดโควิด-19 ทำให้คุณปู่ต้องเป็นคนเดินเรื่องทุกอย่างเอง ทั้งเดินเอกสาร ติดต่อโรงพักเพื่อคุยเรื่องคดี ติดต่อ รพ.เรื่องใบชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิต โดยในใบชันสูตรระบุสาเหตุการเสียชีวิตไว้ว่า ศีรษะได้รับอันตราย ส่วนคนขับ ทางตร.ได้ส่งไปรพ.ก่อน และมีการแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาท เขาก็ยอมรับว่าประมาท ในงานศพก็ไม่มีแม้แต่เงาของคนขับ แต่มีแม่คนขับรถกับญาติมาร่วมงานในวันที่ 2 และมาไม่ถึง 5 นาที ยื่นซองทำบุญให้ 5,000 บาท ไม่มีการพูดคุยเรื่องค่าเสียหาย แม้แต่ธูปไหว้ศพก็ไม่จุด และที่ทำให้ครอบครัวรู้สึกสะเทือนใจมาก คือแม่คนขับบอกว่า ถ้าเด็กไม่ถึงฆาตก็คงไม่ตาย คำขอโทษสักคำก็ไม่มี ทางคุณปู่ต้องเป็นคนประสานไปหาเขาตลอด แต่เขาก็เอาแต่อ้างว่าเขากักตัวอยู่ บ่ายเบี่ยงตลอด จนมาถึงการเจรจาไกล่เกลี่ยครั้งที่ 3 เขายื่นข้อเสนอว่าจะให้เงิน 30,000 บาท บอกว่ามีแค่นี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุหรอก และตลอดเวลาที่คุยกันที่โรงพัก เขาก็เอาแต่ไลฟ์สด ไม่สนใจอะไรเลย แถมพี่สาวเขายังโทรมาข่มขู่ เอากฎหมายมาข่มขู่

 

 

          ด้านพ่อและแม่ หลังกักตัวครบกำหนด ก็รีบกลับไปหาลูก เปิดโลงเย็นเพื่อดูศพลูก คุยกับลูกทุกวัน บอกลูกว่าไม่น่าเกิดมาอายุสั้นเลย และนอกจากกู้ภัยจะไม่รับผิดชอบแล้ว เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อคุณปู่ไปติดต่อหน่วยงานที่จะช่วยเยียวยาซึ่งก็คือประกันภัยของรถ พบว่า รถคันนี้ไม่มีประกันภาคสมัครใจ มีแต่ พ.ร.บ.ประกันรถยนต์ แถมเป็นบริษัทที่เพิ่งปิดตัวไป เมื่อไปยื่นเอกสารกับทาง คปภ.แล้ว แต่คปภ.บอกว่าให้ติดต่อมาอีกครั้งช่วง มิ.ย. ซึ่งหากไม่มีเงินจ่าย คปภ.จะเข้ามาดูแลต่อ เบื้องต้น คปภ.ให้ค่าปลงศพมา 35,000 บาท ตอนนี้อยู่ในการลำดับคิวหนี้สินของบริษัทประกันภัย 

 

 

         ด้าน นายโสรัจจ์ แรกสกุลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า กรณีของน้องฟีฟ่า จากการตรวจสอบรถคันที่เกิดเหตุมีการทำประกันภัยภาคบังคับไว้ ซึ่งหากน้องเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตสามารถเรียกร้องค่าสินไหมได้ เบื้องต้นเป็นค่าปลงศพ 35,000 บาท และ ค่าสินไหมทดแทนที่เกินจากค่าเสียหายเบื้องต้น ตั้งแต่ เม.ย.63 เป็นต้นมาจะได้ 5 แสนบาท หักจากค่าปลงศพ 3.5 หมื่น เหลือ 465,000 บาท และเคสนี้เกิดอุบัติเหตุก่อนที่บริษัทประกันภัยจะถูกเพิกถอนใบอนุญาต ดังนั้นจะต้องได้รับเงินสินไหมแน่นอน สำหรับขั้นตอนปัจจุบัน การยื่นขอรับสภาพหนี้ จะจบวันที่ 14 ก.พ. อีกไม่กี่เดือนจะเข้าสู่กระบวนการชำระหนี้ ซึ่งมีเจ้าหนี้ประมาณแสนราย ต้องลำดับคิวกันไป แต่ยืนยันว่ายังไงก็ต้องได้

 

 

          ฟาก น.ส.เดือนเพ็ญ เจ้าของรถกระบะที่ถูกกู้ภัยฝ่าไฟแดงมาชน เล่าว่า กู้ภัยรายนี้ก็ยังไม่ได้เยียวยาตนเองเช่นกัน ไม่มีการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น บอกเพียงแต่ว่า อยากได้เงินก็ไปฟ้องเอา ตนได้มีการเจรจากับกู้ภัยรายนี้ในครั้งที่ 3 ที่มีการนัด เพราะครั้งที่ผ่านมาเขาให้ญาติเป็นคนมาคุย ตนได้มีโอกาสถามเขาว่ารู้ตัวไหมว่าผิด เขาก็ยอมรับผิดว่าฝ่าไฟแดงจริง แต่พอไปคุยที่ สภ.เขากลับปฏิเสธว่าไม่ได้ฝ่าไฟแดง ตอนนี้ตนจึงไม่ขอประนีประนอมแล้ว เพราะให้โอกาสไปแล้ว ยืนยันเดินหน้าเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

 

 

         เรื่องนี้ นายอดุลย์ กู้ภัยที่ขับรถผ่าไฟแดง ยืนยันว่า ตนเองปฏิบัติตามกฎของกู้ภัยอย่างเคร่งครัด ไม่ได้ตั้งใจขับรถฝ่าไฟแดง ตนไปรับน้องซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงโควิด ก็เลยปฏิบัติตามข้อกำหนดของกู้ภัยที่เคยปฏิบัติมา มีการชะลอก่อนที่จะฝ่าไฟแดง ทุกครั้งที่ไปรับผู้ป่วยโควิด จะทำแบบนี้ทุกครั้ง เพราะกลัวว่าถ้าจอดรถแล้วเชื้อจะกระจายออกไป เป็นการทำตามกฎจราจร พรบ.2522 มาตรา 75-76 และที่ไม่ไปร่วมงานศพ เพราะมีอาการบาดเจ็บต้องรักษาตัว เนื่องจากช้ำใน แล้วตอนที่ไปโรงพักก็เคยขอโทษเขาไปแล้ว ตนก็เครียด รู้สึกผิด ทุกอย่างไม่ใช่ว่าจะไม่รับผิดชอบ แต่ตนยังติดกระบวนการทางกฎหมายอยู่ ตนไม่อยากจะให้เรื่องมันเกิดขึ้น ตนก็เสียใจไม่น้อยกว่าครอบครัวน้อง ก็อยากจะขอโทษจากใจ ตนช่วยคนมาตลอด ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้

 

 

         กรณีนี้ ทนายสงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม เผยถึงข้อกฎหมายว่า เคสนี้ เอาลูกเขาไปตายแล้วยังไม่รับผิดชอบ กู้ภัยคนนี้โทษหนัก กฎหมายไม่มีการยกเว้นให้กูุ้ภัยฝ่าไฟแดงได้ ยืนยันตรงนี้เลย ถ้ามีไฟฉุกเฉินต้องขออนุญาตตามกฎหมาย แต่ถึงจะมีไฟฉุกเฉินก็ไม่สามารถฝ่าไฟแดงได้ แม้กระทั่งเป็นรถพยาบาล ฝ่าไฟแเดงไปชนรถคันอื่นก็ต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย ส่วนเคสนี้ พนง.สอบสวนได้ตั้งข้อกล่าวหาเบามาก ตั้งข้อหา พ.ร.บ.การจราจรทางบก ประมวมลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งเป็นแค่ลหุโทษ ควรต้องตั้งข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย