Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย BBB+ สะท้อนความเชื่อมั่น และมีเสถียรภาพ
logo ข่าวอัพเดท

Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย BBB+ สะท้อนความเชื่อมั่น และมีเสถียรภาพ

ข่าวอัพเดท : วันที่ 22 ธ.ค.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระ Fitch Ratings,อันดับ,ความน่าเชื่อถือ,ไทย,ความเชื่อมั่น,เสถียรภาพ,ธนกร

478 ครั้ง
|
23 ธ.ค. 2564
       วันที่ 22 ธ.ค.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบผลและรู้สึกยินดีที่ บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ซึ่งเปิดเผยรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าผลจากคงอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าว สะท้อนความเชื่อมั่นของความเข้มแข็ง ด้านนโยบายการเงินการคลังที่รอบคอบของรัฐบาล และขอบคุณที่ Fitch เชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงหนี้สาธารณะ ที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี สืบเนื่องจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ที่มีกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมทำงานอย่างเข้มแข็งเห็นผลอย่างชัดเจนจนเป็นที่ยอมรับ
 
       โฆษกรัฐบาล กล่าวต่อว่า Fitch ยังคาดการณ์ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยปี 2565 ที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดย Fitch คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 เพราะมองว่ารัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนด้านการเงินการคลัง การส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเพิ่มเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 70 จะช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการคลังเพื่อการลงทุนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม สำหรับภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ของไทย Fitch ยังคงมองว่ามีความแข็งแกร่ง และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทย จะกลับมาเกินดุลที่ร้อยละ 0.8 ต่อ GDP และ ร้อยละ 3.5 ต่อ GDP ในปี 2565 และ ปี 2566 ตามลำดับ หลังจากขาดดุลที่ร้อยละ 2 ในปี 2564
 
      โฆษกรัฐบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า รายงานของ Fitch สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังอย่างรอบคอบ การกู้เงินก็เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และมีการดำเนินมาตรการทางการคลังอย่างมีเป้าหมาย เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม จากการได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19