ใจเธอทำด้วยอะไร! ผู้สูงอายุหลั่งน้ำตา ข้าราชการสาวใช้โฉนดปลอม หลอกยืมเงินคนแก่ สูญ 20 ล้าน

         วันที่ 3 พ.ย.2564  นางปุ่น สาโรจน์ หนึ่งในผู้เสียหาย น้ำตาคลอเปิดใจให้สัมภาษณ์ ในรายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า สาวคนก่อเหตุ ได้เริ่มมาขอให้ตนกู้เงินให้ ตนยอมเพราะเห็นเป็นภรรยาของลูกพี่ลูกน้องตนเอง แถมเป็นข้าราชการด้วย ตนก็เลยไว้ใจ ครั้งแรกกู้ให้ 1 ล้านบาท ประมาณปี 2562 โดยเขาบอกภายใน 1 เดือน จะเอาเงินไปปิดให้ ตนอุตสาห์เอาที่ดินทำเลดีจำนวน 5 ไร่ กับที่บ้านอีกกว่า 2 งานไปค้ำประกันเอาไว้  ต่อมาบอกว่าไม่พอ จะเอาไปปิดบัญชีสหกรณ์ จึงกู้ให้อีก 1 ล้านบาท ยังไม่พออีก เขาบอกว่าจะเอาเงินไปลงทุนให้กู้อีกกว่า 1 ล้านบาท เลยกู้ให้อีกรวมแล้วกว่า 3 ล้านบาท ตลอดเวลาเขาบอกว่าจะทยอยคืนให้ อ้างสารพัด จนตอนนี้ยังไม่คืนให้แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้ติดต่อไม่ได้เลย มาถึงตอนนี้ตนหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว

 

 

         ด้าน นางเสวย เจริญรัมย์ หนึ่งในเหยื่อของข้าราชการสาว กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุ เริ่มมายืมเงิน 4 แสนบาท ตอนปี 2562 ด้วยความที่เขาเป็นคนปากหวาน พูดเพราะมาขอยืมเงิน บอกว่าจะใช้เป็นการเร่งด่วน โดยเขาเอาโฉนดที่ดินของตัวเองมาวางค้ำประกันไว้ หลังจากนั้นก็มีการคืนเงินจนครบ และมีการเอาโฉนดอีกฉบับมาเปลี่ยน ซึ่งเหมือนกับโฉนดตัวเดิม แล้วมาเอาเงินเพิ่มเรื่อยๆ รวม 8 แสนบาท โดยมีการทำสัญญาเงินกู้ไว้ สาเหตุที่เชื่อเพราะเห็นเป็นข้าราชการ เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม สามีเป็นรองนายก อบต.จึงเชื่อใจให้ยืม และเขามักจะอาศัยจังหวะเวลาที่ตนอยู่คนเดียวถึงจะเข้ามาหา ถ้ามีคนอยู่เยอะเขาจะไม่เข้ามา แต่มาเจ็บใจมากกว่านั้น เมื่อไปแจ้งความเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ก็ได้รู้ว่าโฉนดที่เอามาวางเป็นโฉนดปลอม 

 

         น.ส.สุจิตรา ร่าเริงยิ่ง ลูกสาวของนางเสวย เผยว่า ตอนนี้ทั้งบ้านเครียดมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ตนรู้จักกับสามีของผู้ก่อเหตุ บ้านเขาจะติดป้ายเอาไว้เลยว่า ห้ามบุคคลภายนอกเข้าหากไม่ได้รับอนุญาต และพอเกิดเรื่องเขากับสามีเพิ่งหย่ากันเมื่อไม่นานมานี้ ประมาณวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ตอนนี้เจ้าหนี้ติดต่อเขาไม่ได้เลย แต่คาดว่าครอบครัวเขาน่าจะยังติดต่อกันได้อยู่ 

 

 

         นายพีรพงษ์ เสนานอก ผู้เสียหายที่ถูกหลอกยืมเงินไป 5.3 แสนบาท เผยว่า เริ่มต้นตอนปี 2563 เขามายืมเงิน 8.5 หมื่นบาท อ้างว่าจะเอาไปเป็นค่าเทอมลูก โดยให้เพื่อนในหมู่บ้านเป็นคนพามา บอกว่าเป็นข้าราชการ อบต. และมีตำแหน่งเป็นประธานหมู่บ้านด้วย ด้วยความที่เขาพูดจาน่าเชื่อถือตนจึงให้ยืม พอกลางปี 2564 ตนก็เริ่มทวงเงินเขา แต่เขามาขอยืมเพิ่มโดยอ้างว่าจะขอเงิน 4.5 แสนบาท เพื่อไปเปิดบัญชีธนาคาร แล้วเดี๋ยวจะเอาเงินมาคืนให้ครบ ด้วยความที่ตนอยากได้เงินคืน ก็เลยให้เขายืมไป โดยเขามีข้าราชการมาช่วยค้ำประกันให้ ทำให้ตนสบายใจ ก่อนที่จะมีคนมาบอกตนว่าเขาเชิดเงินหนีไปแล้ว ตนเคยดูแต่ข่าวคนโดนหลอก จนวันนึงมาโดนเองก็ช้ำใจ คือเขาพูดจาดีมาก นั่งพับเพียบไหว้เลย จนนางงามต้องยกนิ้วให้ ยอมรับว่าช้ำใจ เพราะเงินที่ให้ยืมไปเป็นเงินเก็บทั้งชีวิต จึงอยากจะให้ตำรวจติดตามมาดำเนินคดีให้ได้

 

         เรื่องทั้งหมดมาแดงขึ้น หลังจาก นางปุ่น โดนเบี้ยวหนี้ เลยไปรวมตัวคุยกับแม่และพี่สาวของเขา ทำให้เรื่องแตก และมาทราบว่า มีชาวบ้านโดนหลอกอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ สาวคนก่อเหตุ ยังได้ชิงลาออกไปเมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา 

 

        ล่าสุด มีรายงานข่าวเข้ามาว่า สาวผู้ก่อเหตุ ได้มีการไปเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล เป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันนี้ ( 3 พ.ย.64)

 

 

       สำหรับกรณีนี้ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีรัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินกู้ มีทั้งแบบมีหลักค้ำประกัน และไม่ค้ำประกัน ดอกเบี้ยก็ไม่ได้เรียกเก็บ ทำให้เป็นลักษณะลวงทำสัญญาเงินกู้เพราะมีการอ้างจะนำไปใช้ด้านโน้นด้านนี้ ซึ่งข้อเท็จจริงคนที่กู้ไม่ได้เอาเงินไปทำธุรกรรมมาที่ระบุไว้เลย โดยมีการเอาภาพลักษณ์ของบุคคลในเครื่องแบบมาสร้างความน่าเชื่อถือ เวลาไปที่สถานีตำรวจ ถ้าหยิบสัญญาเงินกู้ไปให้ตร.ดู เขาจะมองเป็นคดีแพ่ง ตร.ก็จะดำเนินการไม่ได้ สำหรับบางเคสที่ตร.รับแจ้งความ เพราะมีการใช้โฉนดปลอมเข้ามาเกี่ยวข้อง ตำรวจจึงรับแจ้งความ เพราะกลายเป็นคดีอาญา 

 

         ทั้งนี้ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต แนะนำว่าให้ไปที่ยุติธรรมจังหวัดได้ เขาจะมีทนายความช่วยเหลือให้คำแนะนำ เพราะไม่งั้นมองเผินๆ อาจจะเป็นแค่เรื่องกู้เงินธรรมดา แต่ความจริงมันมีเรื่องการหลอกลวงฉ้อโกง เข้าข่ายคดีอาญาได้ และให้ยุติธรรมจังหวัดพาไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินเรื่องได้ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สำหรับเรื่องที่ผู้ก่อเหตุมีการไปเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนอีกกี่ครั้งก็ไม่สามารถเปลี่ยนเลขประจำตัวประชาชนได้ ยังไงประวัติข้อมูลก็ยังอยู่ ส่วนเรีื่องจดทะเบียนหย่า ก็อาจต้องไปดูว่าคู่สมรสเขามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ และถ้าเขาเป็นบุคคลที่รับข้าราชการ ก็จะมีข้อมูลอยู่ในแต่ละสังกัด สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ 

 

 

        ส่วนกรณีป้าปุ่น ที่มีการนำโฉนดที่ดินไปค้ำประกันเพื่อเอาเงินมาให้ผู้หญิงคนนี้ อันนี้เรื่องใหญ่ คือถ้าคนนี้ไม่มีเงินมาคืน ป้าปุ่นก็ต้องไปชำระเงินแทน เผลอๆ อาจมีดอกเบี้ยด้วย แนะนำว่าให้รีบไปคุยกับคนที่เราไปเอาเงินเขามา แล้วเจรจาพูดคุยโดยพาคนที่มีความรู้เรื่องนี้ไปด้วย เพราะหากสุดท้ายไม่มีเงินไปใช้คืนเขา ป้าปุ่นอาจจะต้องเสียที่ดินที่นำไปค้ำประกันไว้ไปได้