กรณีที่มีเพจหนึ่ง เผยแพร่ภาพลูกไฟที่เกิดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ต.ค.64 ที่ผ่านมา อ้างว่าเป็นการยิงปืนจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมแฉชื่อหมู่บ้านที่ยิงปืน และยื่นหนังสือถึงสถานทูตลาวให้ตรวจสอบนั้น
ล่าสุด วันที่ 25 ต.ค.64 ชาวบ้านที่บ้านท่าม่วง ต.รัตนวาปี อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย จุดที่มีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นนับร้อยลูกอย่างต่อเนื่องทุกปี ชาวบ้านซึ่งใช้ชีวิตตามปกติ หลังจากงานออกพรรษาเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวถึงบั้งไฟพญานาคในมิติที่ชาวบ้านพบเป็นประสบการณ์โดยตรงในชีวิต
นางลำดวน เสนานิกร อายุ 50 ปี ชาวบ้านท่าม่วง ชี้ให้ดูจุดที่พบบั้งไฟพญานาคบริเวณแม่น้ำโขง หน้าบ้านของตัวเองว่า ตนเคยเห็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขงมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้อายุ 50 ปีแล้วก็ยังเห็นทุกปี แม้ว่าจำนวนจะลดน้อยลงไปบ้างก็ตาม เมื่อก่อนไม่ค่อยมีคนมาดู มีเพียงชาวบ้านที่ออกมาดูกันในวันออกพรรษา หลังจากนั้นก็มีคนมาดูมากขึ้น แต่เมื่อมีคนต้องการพิสูจน์และบอกว่าเป็นฝีมือการยิงปืนขึ้นฟ้า ก็อยากให้พิสูจน์จนได้ผลที่แน่ชัด จะได้ไม่มีการกล่าวหาว่าเป็นการโกหกหลอกลวงกันทั้งนี้ฝั่งตรงข้ามกับบ้านท่าม่วงในฝั่งลาวจะเป็นบ้านห้วยสายพาย แขวงบอลิคำไซ ถัดไปเป็นบ้านหนองเขียด และหลังจากเลยคุ้งน้ำไปแล้วจะไม่มีหมู่บ้าน เป็นโขดหินริมน้ำโขง
ด้านนางกุหลาบ อินทะรักษา อายุ 65 ปี และนางพุด ทองแดง อายุ 58 ปี ชาวบ้านท่าม่วง ก็กล่าวว่า เห็นข่าวการพิสูจน์บั้งไฟพญานาคแล้ว ลูกไฟที่พบนั้นไม่ใช่บั้งไฟพญานาคที่ชาวบ้านเคยเห็น บั้งไฟพญานาคของจริงจะมีลอยขึ้นมาจากแม่น้ำโขง ไม่แค่นั้น ตามหนองน้ำหรือแม้กระทั่งปลักควายก็มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น รู้สึกเสียใจที่ได้ยินว่าเป็นการยิงปืนเกิดขึ้น เชื่อว่าคนที่พูดเช่นนั้นไม่เข้าใจและไม่เคยสัมผัสกับบั้งไฟพญานาคเหมือนเช่นชาวบ้านริมน้ำโขงได้สัมผัสและพบเห็นมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า เหมือนเป็นการลบหลู่ด้วยเช่นกัน
ขณะที่นางพรม อุทัยบาน อายุ 68 ปี เคยมีสามีเป็นชาวลาวและไปใช้ชีวิตที่บ้านห้วยสายพาย แขวงบอลิคำไซ บอกว่า ชาวลาวเองก็ดูบั้งไฟพญานาคและเชื่อว่าเป็นบั้งไฟพญานาคเช่นกัน แต่การดูจะไม่คึกคักเหมือนฝั่งไทย
+ อ่านเพิ่มเติม