น้องมาร์ค เด็กชายยอดกตัญญูเก็บของเก่าเลี้ยงแม่และน้องวัยขวบเศษ ถูก พ่อเลี้ยงทำร้ายจนม้ามแตก ซ้ำ ผลาญเงินบริจาค ฟากพ่อเลี้ยงปัด ไม่ได้ทำ อ้างแค่ตีครั้งเดียว 3 ปีก่อน และไม่ได้ผลาญเงินบริจาค
วันที่ 13 ต.ค.64 ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ได้มีการนำเสนอข่าวของ “น้องมาร์ค” นักเรียนชั้น ป.5 ชาว อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ หนูน้อยยอดกตัญญูที่ปั่นจักรยานคู่ใจ ออกตระเวนเก็บของเก่าตามริมถนนนำไปคัดแยกไว้ขาย เพื่อหารายได้แบ่งเบาภาระครอบครัวดูแลแม่และน้องวัยขวบเศษ เนื่องจากฐานะยากจนก็มีคนเข้าไปชื่นชมในความกตัญญูของน้อง อีกทั้งได้มีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ใจบุญ ยื่นมือช่วยเหลือ ไม่ว่าจะบริจาครถจักรยานคันใหม่ มอบอุปกรณ์ก่อสร้างบ้าน และบริจาคเงินเป็นทุนในการสร้างบ้านและเป็นทุนการศึกษาด้วยรวมเป็นเงินประมาณ 80,000 บาท
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่า น้องมาร์ค หนูน้อยยอดกตัญญูได้ถูก นายชัช (นามสมมติ) อายุ 36 ปี พ่อเลี้ยงทำร้ายร่างกายหลายครั้ง ล่าสุดเตะจนม้ามแตกต้องเข้ารับการรักษาที่ รพ.นางรอง เป็นเวลาเกือบสัปดาห์ โดยเข้ารักษาตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. และออกจาก รพ.วันที่ 8 ต.ค. ซึ่งชาวบ้านเห็น แต่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะไม่อยากจะมีปัญหา จากนั้นผู้สื่อข่าวพร้อมด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ก็ได้เดินทางไปยังบ้านของน้องมาร์ค แต่ไม่มีใครอยู่บ้าน จากการสอบถามญาติและชาวบ้านใกล้เคียงก็บอกว่า หลังจากน้องมาร์ค ออกจาก รพ. ก็มีเจ้าหน้าที่จากบ้านพักเด็กและครอบครัวมารับไปดูแลที่บ้านพักเด็กฯ แล้ว โดยแม่ของน้องก็ไปดูแลลูกด้วย ส่วนพ่อเลี้ยงไม่รู้ว่าไปไหนไม่ค่อยจะอยู่บ้าน
สอบถามนายสมปอง ปราบสกุล ผู้ใหญ่บ้าน บอกว่า ตนเองเพิ่งมาทราบตอนที่ชาวบ้านไปบอกว่าน้องมาร์ค เข้าโรงพยาบาลด้วยอาการม้ามแตก แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร จากนั้นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็มาแจ้งอีกว่าน้องมาร์คอยู่ที่ รพ.นางรอง แต่ตอนนั้นตนติดภารกิจอยู่ จึงยังไม่ได้ไปดูน้อง ได้มาสอบถามกับญาติและชาวบ้านว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งชาวบ้านก็บอกว่าน้องน่าถูกพ่อเลี้ยงทำร้าย เพราะมีคนเห็นหลายครั้ง ซึ่งพ่อเลี้ยงเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปหลังจากมีเงินบริจาคเข้ามา กระทั่งตนเคยไปสอบถามก็ยังไม่พอใจแถมยังต่อว่าด้วยจึงไม่เข้าไปยุ่ง อย่างไรก็ตามก็จะได้รายงานให้ทางอำเภอรับทราบเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการร้องเรียนทั้งเรื่องการทำร้ายร่างกายและเงินบริจาคด้วย
ขณะที่ เพื่อนบ้าน เล่าว่า ตนเคยเห็นกับตาว่านายชัย พ่อเลี้ยง ทำร้ายน้องมาร์ค เวลาที่ใช้แล้วไม่ได้ดั่งใจก็จะตบ เตะ กระทืบบ่อยครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. น้องโดนเตะตอนนั่งล้างจานอยู่หลังบ้าน ก็คิดว่าเป็นเรื่องในครอบครัวไม่อยากจะยุ่ง กระทั่งน้องมาเล่นที่บ้านแล้วบ่นว่าเจ็บท้อง พอเปิดเสื้อดูก็พบรอยเขียวช้ำที่บริเวณท้อง ก็ตกใจไม่คิดว่าน้องจะถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายรุนแรงขนาดนี้ และเพิ่งมาทราบทีหลังว่าน้องเข้ารักษาตัวที่ รพ.เกือบสัปดาห์ ก็รู้สึกหดหู่ใจและสงสารจริงๆ ก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องในครอบครัว เพราะกลัวเขาจะมาด่าแต่เห็นน้องเป็นหนักขนาดนี้ก็สงสาร จึงแจ้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ให้มาช่วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นิสัยของพ่อเลี้ยงเป็นอย่างไร ป้าสมนึกถึงกับ บอกว่า สุดยอดถามชาวบ้านใกล้เคียงได้เลย เป็นคนโมโหร้าย ไม่เอาใคร หากเป็นไปได้ก็อยากให้พาไปตรวจฉี่ด้วยว่ามีเรื่องของยาเสพติดหรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่น้องมาร์คที่ถูกทำร้าย บางวันเมียยังโดนตีหน้าตาเขียวช้ำไปหมด และไม่ใช่แค่ลงไม้ลงมือเท่านั้น แม้แต่ข้าวยังไม่ให้น้องมาร์ค นั่งกินร่วมด้วย ตักข้าวใส่จานให้แล้วไล่ไปนั่งกินคนเดียว
ส่วนเรื่องเงินที่มีผู้บริจาคช่วยเหลือนั้น ก็ไม่เห็นสร้างบ้านใหม่หรือทำอะไร แต่ทำไมเงินถึงไม่เหลือก็ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร เห็นแต่มี รถ จยย. 2 คัน จากกรณีที่เกิดขึ้นก็อยากให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาตรวจสอบและช่วยเหลือน้องมาร์คด้วย เกรงว่ากลับมาจะถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายอีก
ล่าสุด น.ส.เพชรรัตน์ ภูมาศ นายอำเภอนางรอง พร้อมด้วย นายจักรกฤษ์ ร่วมกูล ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง และเจ้าหน้าที่จากบ้านพักเด็กและครอบครัว จ.บุรีรัมย์ ได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านของน้องมาร์คตามที่มีการร้องเรียนและผู้เป็นแม่แจ้งความร้องทุกข์เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งได้พบกับ นายชัช (นามสมมติ) พ่อเลี้ยงของน้องมาร์ค ที่ถูกร้องเรียน อยู่กับญาติและลูกคนเล็กวัยขวบเศษ เนื่องจากภรรยา และน้องมาร์ค ทางเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กฯ ได้รับไปดูแลคุ้มครองก่อนหน้านี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นนายชัช พ่อเลี้ยงที่ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายน้องมาร์คจนต้องเข้า รพ. ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายน้องตามที่ถูกกล่าวหา และไม่รู้ว่าน้องเจ็บต้องเข้า รพ.เพราะสาเหตุอะไร ซึ่งเบื้องต้นตนได้ไปให้ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนจะได้เรียกสอบตามขั้นตอนอีกครั้ง เนื่องจากผู้เป็นภรรยา ซึ่งเป็นแม่ของน้องมาร์ค ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่าพ่อเลี้ยงทำร้ายน้องจริง ซึ่งเรื่องคดีต้องว่ากันไปตามกระบวนการกฎหมาย
ส่วนเรื่องเงินบริจาคแม่ของน้องเป็นคนถือบัตร ATM เอง เวลาไปกดก็ไปด้วยกันไม่เคยเอาไปใช้ส่วนตัว ส่วนที่บอกว่าเอาไปซื้อจักรยานยนต์นั้นเป็นรถของแฟนคันหนึ่ง ซื้อ 2 หมื่นกว่าบาท ของตัวเองคันหนึ่ง แต่ของตัวเองใช้เงินตัวเองซื้อไม่ได้ใช้เงินบริจาคซื้อ แต่พอผู้สื่อข่าวถามว่าเงินเหลือเท่าไหร่ก็บอกว่าเหลือหมื่นกว่าบาทเพราะซื้ออุปกรณ์มาไว้ทำบ้านแล้ว
+ อ่านเพิ่มเติม