วันที่ 27 ก.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ ผบก.รฟ. พร้อมชุดสืบสวน บก.รฟ. นำหมายค้นเข้าตรวจค้นอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง เขตดินแดง กรุงเทพฯ โดยจับชายหญิงรวม 2 คน ภายในห้องพักตามหมายจับของศาลอาญา เพื่อนำตัวสอบสวน นอกจากนี้ชุดสืบสวนแบ่งกำลังติดตามจับผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 5 คน ตามสถานที่ต่าง ๆ
การจับกุมสืบเนื่องจาก ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ทำการทุจริต "การลงทะเบียนวัคซีนโควิด - 19" จากเหตุการณ์บริการกวอล์กอินช่วงเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ พบความผิดปกติว่าน่าจะมีการทุจริตการลงทะเบียน จนกระทั่งสืบสวนพบว่าผู้ที่ซื้อคิวโดยทุจริตเหล่านี้เดินทางมารับบริการที่ศูนย์ฯ เมื่อตรวจเช็กแล้วว่าเริ่มมีการลงทะเบียนไปประมาณ 600 คน จากจำนวน 2,000 กว่าคน ทางศูนย์ฯ จึงแจ้งยกเลิกคิวการฉีดของ2,000 กว่าคนทั้งหมด เพื่อบีบให้คนเหล่านี้แสดงตัวขอความช่วยเหลือร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ จนกระทั่งทราบข้อเท็จจริงแล้วมอบหมายให้นิติกรแจ้งความกับตำรวจ สน.นพวงศ์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ชุดสืบสวนสอบสวนของนำโดย พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. และ พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ ผบก.รฟ. พร้อมคณะทำงานรวบรวมพยานหลักฐานเกือบ 2 เดือนก่อนยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพิจารณาออกหมายจับ จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้
- ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน
- ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีมาตรการป้องกัน การเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สาหรับตน โดยร่วมกันกระทำต่อระบบคอมพิวเตอร์ หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ
- ร่วมกันทาให้เสียหาย ทาลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ โดยร่วมกันกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่ เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะหรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของ ประเทศ
ต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนังและผู้อำนวยการศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ได้ร่วมแถลงข่าวกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตลงทะเบียนจองคิวรับวัคซีนของศูนย์ฯ พร้อมทำแผนประกอบคำให้การ
ขณะที่ทำแผนประกอบคำให้การนั้นหนึ่งในผู้ต้องหากล่าวอ้างว่า ที่ตนทำแบบนี้ต้องการช่วยคนรู้จักให้ได้รับวัคซีน โดยช่วงแรกไม่มีการเก็บเงินจากผู้มาร้องขอลงทะเบียนแต่อย่างใด แต่ช่วงหลังที่เก็บเงินเนื่องจากเพื่อนไปบอกผู้ต้องการฉีดวัคซีนว่า “ตนสามารถลงทะเบียนขอรับวัคซีนได้” ตนจึงตอบรับข้อเสนอทำการทุจริตลงทะเบียนให้กับผู้ร้องขอ โดยได้ค่าหัวคนละ 100-300 บาทเท่านั้น ไม่ถึงรายละ 1,000 บาทอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง ซึ่งเงินจากการทุจริตประมาณ 4-5 ล้านบาท ตนนำไปใช้หนี้ ยืนยันที่ทำไปอยากช่วยคนที่ตนรู้จักได้รับวัคซีน
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก ทางศูนย์ฯ ได้มีการเฝ้าระวังโดยเก็บสถิติและข้อมูลการทำงานในแต่ละวัน และเฝ้าระวังข้อมูลการทำงานที่ผิดปกติอยู่เสมอ จึงทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติในการนัดหมายล่วงหน้าที่คาดว่าอาจจะมีการทุจริตเกิดขึ้น โดยได้ตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2564
1 พบว่ามีการนัดล่วงหน้าที่มีจำนวนสูงกว่าปกติ และมากกว่าจำนวนที่เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ เป็นผู้นำเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลด้วยตนเอง โดยเริ่มพบตัวเลขผิดปกติในหลักร้อยและหลักพันต้น ๆ ในช่วงวันที่ 18-27 กรกฎาคม และพบจำนวนนัดมากกว่าปกติเป็นหลัก 2,000 ปลาย ๆ ระหว่างวันที่ 28-31 กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเปิดรับการบริการแบบ walk-in
2 พบความผิดปกติของช่วงเวลาในการ upload ข้อมูลการนัดล่วงหน้าเข้าสู่ระบบ โดยพบว่า ในช่วงเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นช่วงรับผู้ป่วย walk-in นั้น ทางศูนย์ฯ ได้งดรับการนัดล่วงหน้าจากองค์กรภายนอกเกือบทั้งหมด (ยกเว้นบางหน่วยงาน เช่น การนัดของกระทรวงต่างประเทศซึ่งได้ส่งนัดหมายการฉีดวัคซีนสำหรับผู้สูงอายุต่างชาติวันละประมาณ 400 คนเท่านั้น) ทำให้ในช่วงเดือนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ได้ดำเนินการ upload ข้อมูลเข้าระบบแล้วเสร็จอย่างรวดเร็วภายในเวลา 18.00 น. ของแต่ละวันแล้วมิใช่เสร็จสิ้นช่วงดึก ๆ เหมือนตอนที่เป็น advance booking ซึ่งมีข้อมูลจำนวนมากต้อง upload เข้าสู่ระบบ
อีกทั้งทางศูนย์ฯ ยังพบว่ามี Upload ส่งข้อมูลนัดหมายล่วงหน้าอีกในเวลาหลัง 22.00 น. ของทุกวันอยู่อีก ประกอบกับทางศูนย์ฯ ได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีการซื้อขายเพื่อรับคิวการฉีดวัคซีนจากประชาชนเป็นจำนวนมากพอสมควร
ต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันแรกที่มีคิวนัดล่วงหน้าเพิ่มมากกว่าปกติกว่า 2,827 คน ทางศูนย์ฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์ “ขุดบ่อล่อปลา” ให้ผู้ที่ซื้อคิวโดยทุจริตเหล่านี้เดินทางมารับบริการตามปกติ และเมื่อศูนย์ฯ ตรวจเช็กแล้วว่าเริ่มมีการลงทะเบียนไปประมาณ 600+ คน จากจำนวน 2,000 กว่าคนนั้น ทางศูนย์ฯ จึงแจ้งยกเลิกคิวการฉีดของทั้ง 2,827 คนนั้นทั้งหมด เพื่อบีบให้คนเหล่านี้แสดงตัวขอความช่วยเหลือ-ร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ ทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลของตัวการผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทุจริตในครั้งนี้
จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า การซื้อคิวนัดดังกล่าว มีทั้งซื้อเอง ญาติหรือนายจ้างซื้อให้ และมีการจ่ายเงิน ทั้งแบบเงินสดและการโอนเงินในอัตรา 400-1200 บาทต่อคิว ซึ่งทางศูนย์ฯ ได้รับข้อมูลรายชื่อและเลขที่บัญชีธนาคารที่ใช้รับโอนของกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวแล้ว จึงได้ให้นิติกรกรมการแพทย์เป็นผู้แทนในการดำเนินการแจ้งความต่อตำรวจ สน.นพวงศ์ ในฐานะผู้เสียหาย จนมาสู่การจับกุมครั้งนี้ โดยความเสียหายทั้งหมดประมาณ 7,000,000 บาท
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้กล่าว การได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน และทางรัฐบาลได้ดำเนินการจัดหาวัคซีนมาให้บริการฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจากประชาชนแต่อย่างใด
ในการจัดบริการเพื่อฉีดวัคซีนนั้น ทางกระทรวงได้ควบคุมและเฝ้าระวังอย่างรัดกุมและใกล้ชิด โดยได้มีการตรวจสอบติดตามวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการให้บริการตลอด ช่วยให้ตรวจจับความผิดปกติ และเข้าแก้ไขทันที จนสามารถแก้ปัญหาได้ทันเวลา ดังที่ปรากฏตัวอย่างการเฝ้าระวังของศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อในกรณีดังกล่าวนี้
ทั้งนี้เพื่อให้พี่น้องประชาชนเกิดความมั่นใจว่า วัคซีนทุกเข็มจะได้รับการจัดสรรไปสู่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างเที่ยงธรรมและครบถ้วนไม่ตกหล่นโดยทุจริตที่ใด และในโลกนี้ย่อมจะมีทั้งคนดีคนไม่ดี คนที่จ้องจะเอาเปรียบผู้อื่นหรือหาประโยชน์โดยทุจริตอยู่เสมอ
เราอาจจะไม่สามารถห้ามไม่ให้เขาคิดหรือกระทำความผิดเหล่านั้นได้ แต่ด้วยการเฝ้าระวัง ระบบการตรวจสอบที่ดีมีประสิทธิภาพ และความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน เช่นที่ได้แจ้งเบาะแสมาให้ทางศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อได้ทราบได้ป้องกันเฝ้าระวังไม่ให้เกิดช่องโหว่และปิดโอกาสการทุจริตในอนาคตได้ก็เป็นสิ่งที่ดีงามที่เกิดขึ้นในห้วงวิกฤติการณ์การระบาดของโควิด-19 นี้
ขณะนี้ สถานการณ์การระบาดเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก กระทรวงสาธารณสุขขอให้ความมั่นใจว่าทางกระทรวงจะดูแลให้การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นทางออกที่สำคัญของวิกฤติการณ์ครั้งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และจะป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตในกระบวนการต่าง ๆ อย่างเด็ดขาด