วันที่ 1 ก.ย.2564 นายมลฑล ยังสุข หนุ่มใหญ่อ้างเป็นแพะคดีอนาจาร พร้อมด้วย ปาลิดา พรมพินิจ ภรรยา และ ทนายสงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ได้ให้สัมภาษณ์ใน รายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ถึงประเด็นถูกใส่ร้ายทำอนาจารเด็ก จนเสี่ยงติดคุก ร้อนถึงลูกเมียที่ต้องเดือดร้อน ใช้ชีวิตแสนลำบาก
ปาลิดา พรมพินิจ ภรรยาของชายที่อ้างเป็นแพะคดีอนาจาร เผยว่าตนเองทุกข์ถึงที่สุดแล้ว เลยตัดสินใจร้องเรียนเข้ามาที่เพจ ถกไม่เถียง เพราะเชื่อว่ารายการจะสามารถช่วยให้ความเป็นธรรมได้ หวังเป็นที่พึ่ง พอทางรายการติดต่อกลับทำให้ดีใจจนร้องไห้ เพราะต้องทนทุกข์มานานถึง 2 ปี กินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วตัวเองก็ป่วยเป็นโรคพุ่มพวง ลูกๆ ทั้ง 3 คนก็ป่วย ถ้าขาดสามีก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง เพราะเขาเป็นเสาหลักของครอบครัว
นายมลฑล ยังสุข ชายที่อ้างเป็นแพะคดีอนาจาร อัปเดตถึงคดีว่าตอนนี้คดีถึงชั้นศาลฎีกาแล้ว โดยศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 8 ปี เราอุทธรณ์ไป ศาลอุทธรณ์ก็ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ตอนนี้อยู่ระหว่างยื่นขอฎีกา โดยจุดเริ่มต้นที่เกิดคดีนี้ นายมลฑล เล่าว่า เมื่อก่อนเคยขับรถโรงเรียน แต่เลิกไปตั้งแต่ปี 59 เพราะรายได้ไม่ดีเลยพอเดือนมีนาคม 60 ก็นำรถไปแต่งทำเป็นรถขายของตามตลาดนัด แต่ผู้เสียหายอ้างว่าโดนอนาจารครั้งแรกบนรถในเดือน พ.ค.ปี 60 โดยโดนจับหน้าอก ซึ่งไม่จริง และในช่วงที่วิ่งรถโรงเรียน เด็กแต่ละคนที่รับส่ง เขาจะมีที่นั่งประจำของตัวเอง มีเด็กนั่งอยู่ด้วยประมาณสิบกว่าคน ซึ่งที่นั่งข้างคนขับไม่มีทางที่จะมีใครนั่งได้ เพราะตัวเขาใหญ่ และผมดัดแปลงรถ คนที่นั่งได้คือลูกผม ซึ่งเขายังเด็กและตัวเล็ก ผมเอาช่างที่ดัดแปลงรถ และภาพที่ผมลงโซเชียลในเดือนมีนาคมไปเป็นหลักฐาน
เหตุการณ์ที่ 2 ผู้เสียหายอ้างว่าโดนโอบกอดและจับหน้าอก ในบ้านไม่มีบุคคลอื่น นายมลฑล อ้างว่าทุกเช้าผมจะไปนาประมาณ 6 โมง พอฟ้าเริ่มสว่างก็จะไปแล้ว ถ้าเขามาหาผมตามที่กล่าวอ้าง ก็ต้องเจอลูกเมียผมแน่ ผมเป็นเกษตรกร ไปทุกวัน จะอยู่บ้านก็เสาร์อาทิตย์ ซึ่ง ปาลิดา ภรรยาของนายมลฑล กล่าวเสริมว่า เสาร์อาทิตอยู่บ้านเฉยๆ ที่บ้านมีคนตลอดเวลา ตัวผู้เสียหายมีศักดิ์เป็นหลาน เป็นลูกของน้องชาย เพราะบ้านที่อยู่เป็นบ้านเขาเอง บ้านติดอยู่กับปู่เขา บ้านติดกันไม่เท่าไหร่ ถ้าจะทำอะไรกันก็คือจะเห็นกันหมด เพราะบ้านเราเป็นเพิงเล็ก เราอยู่บ้านตลอดเวลา ปกติถ้าหลานมาหาจะต้องตะโกนถามก่อนว่ามีใครอยู่ไหม จะไม่วิ่งขึ้นไปเลย เพราะมันเป็นห้องธรรมดา เราชะโงกหน้าออกมาก็เจอกันแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ไม่มีคนอยู่
เหตุการณ์ที่ 3 น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหายอ้างว่านายมลฑลซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ และเอื้อมมือจากด้านหลังมาจับหน้าอก เรื่องนี้ นายมลฑล อ้างว่าวันนั้น ผมไปที่นา นาผมมันเก็บน้ำไม่อยู่ เขาอ้างว่าผมไปติดเครื่องปั้มน้ำ ผมจะไปปั้มเครื่องยังไงตอนนั้นน้ำท่วมนาทั้งหมดเลย ไปไหนไม่ได้ ยืนยัน ผมไม่เคยซ้อนท้ายจักรยานยนต์นางสาวเอเลย ไม่เคยนั่งไปไหมมาไหนกัน
เหตุการณ์ที่ 4 กลางปี 2561 น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย กำลังเก็บเสื้อผ้าที่บ้านคุณย่า โดนนายมลฑลเอื้อมมือจากด้านหลังจับหน้าอก และพยายามกอด ซึ่งเรื่องนี้ นายมลฑล เล่าว่า ผมเคยไปกินข้าวบ้านปู่กับย่า มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่สิ่งที่เขาอ้างว่าผมทำอนาจารเขาที่บ้านย่า ผมยืนยันว่าไม่จริง ผมไปทำงานส่งของ หยุดทุกวันอาทิตย์ ถ้าเป็นวันหยุดลูกผมก็ต้องอยู่ด้วยกัน
เหตุการณ์ที่ 5 ช่วงปี 2561 น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย กล่าวอ้างว่า นายมลฑลเข้าไปในห้องเพื่อตามหาลูก น.ส.เอ (นามสมมติ) กำลังนอนดูทีวีอยู่ น.ส.เอ (นามสมมติ) ลุกจากเตียงเพื่อออกจากห้องโดยใช้แขนปิดหน้าอกเอาไว้ นายมลฑลอยู่ด้านหลังพยายามใช้มือสอดแทรกเข้ามาบริเวณช่องแขนเพื่อดึงมือออกเพื่อจับหน้าอก เรื่องนี้ นายมลฑล รับว่า คยไปบ้านเขา ไปตามลูกกลับบ้าน แต่ไม่เคยเข้าไปในห้องของเขา มันเป็นแค่ประตูกระจกเปิดไปก็เจอลูก จะน้องมีน้องชายเขาอยู่บ้าง แม่เขาบ้าง คนงาน คนขับรถ คนเยอะ ไม่เคยเข้าไปถึงห้องนอนเขา ช่วงเวลาที่เขาอ้างก็เป็นช่วงที่ผมขาหักอยู่ ผมขาหักตั้งแต่ช่วง ส.ค.-พ.ย. ผมก็ยังกะเผลกๆ ไปทำงานทุกวัน มีเพื่อนขับรถมารับ และกลับบ้านดึกทุกวัน ไม่ได้ไปทำอะไรเขาเลย
เหตุการณ์ที่ 6 น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย กล่าวอ้างว่าไปที่บ้านพักของจำเลย (นายมลฑล) เพื่อตามหาป้า แต่เจอนายมลฑลเพียงลำพัง นายมลฑลได้โอบกอดจากด้านหลัง และมือของนายมลฑลได้ถูกหน้าอก น.ส.เอ (นามสมมติ) จึงสะบัดตัวนายมลฑลและรีบออกจากห้อง เหตุการณ์นี้ นายมลฑล ยืนยันว่า ผมขาหักอยู่จะเข้าไปทำได้ยังไง เขาบอกเดินผ่านลูกผม แล้วทำไมไม่ถามลูกผมว่าภรรยาอยู่บ้านไหม เพราะเขาจะไปเก็บไข่เป็ดกับภรรยาผม
และเหตุการณ์ที่ 7 เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2562 หลังจาก น.ส.เอ (นามสมมติ) อาบน้ำเสร็จ และนุ่งผ้าขนหนูอยู่ในห้องนอน นายมลฑลได้เข้ามาในห้อง และกอดทางด้านหลังและใช้มือสองข้างจับที่หน้าอกของ น.ส.เอ (นามสมมติ) จากนั้น น.ส.เอ (นามสมมติ) ใช้มือปัดป้องมือของจำเลยออก และพูดว่า “ปล่อย อย่า” โดยระหว่างนั้น น.ส.เอ (นามสมมติ) คุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ เพื่อนได้ยินจึงถามว่า “มีอะไร” นายมลฑลได้ยินเสียงเพื่อนของ น.ส.เอ (นามสมมติ) จึงรีบเดินออกจากห้องนอนไป เหตุการณ์ครั้งนี้ นายมลฑล ยอมรับว่าวันนั้นไปบ้านของผู้เสียหายจริง แต่ไปตามลูก เห็นผู้เสียหายคุยโทรศัพท์อยู่ แต่ไม่ได้ทำอะไรเขา
ทั้งนี้ นายมลฑล เล่าว่า โดนพ่อผู้เสียหายข่มขู่ วันแรกที่เกิดเรื่องผมโทรไปบอกพ่อของเขาว่าผมไม่ได้ทำนะ เขาก็บอกว่า มึงกลับมามึงโดนแน่ และมีการเอารูปผมไปประจานในเฟซบุ๊กตัวเอง ผมสาบานเลยว่าไม่ได้ทำแน่นอน จะพาไปสาบานที่ไหนก็ได้ มันจะมีผู้ชายที่ไหนจับนมอย่างเดียวมา 3 ปี ผมก็รู้บ้านเขามีกล้องวงจรปิด แล้วผมจะไปทำอย่างนั้นทำไม
พ่อของ น.ส.เอ (นามสมมติ) เด็กสาวที่อ้างว่าถูกกระทำอนาจาร ยืนยันเชื่อคำพูดของลูกสาว เพราะตัวเขาเจ้าชู้ ผมกับเขารู้จักกันมานานแล้ว แต่พี่สาวผมไม่ทันเขาไง เขาเจ้าชู้ มีผู้หญิงหลายคน แต่เราก็ไม่กล้าบอกพี่สาว เห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา วันที่เกิดเรื่องเขาเข้ามาตั้ง 2 รอบ ลูกสาวผมถึงยอมปริปาก เพราะเรื่องมันรุนแรง เรื่องเกิดขึ้นหลายครั้งมาก แต่ครั้งล่าสุดรุนแรงสุด เขาเข้ามาถึงในบ้านผมเลย ผมมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นคนติดเอง แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เราไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันเลย ผมช่วยเหลือเขามาตลอด ทั้งเรื่องเงิน เรื่องรถ ทุกอย่าง เรื่องอนาจารลูก ผมเองไม่ได้เห็นกับตา ไม่มีใครเห็นกับตา แต่พฤติกรรมเขาเจ้าชู้ ผมเป็นน้องชายคลานตามกันมากับพี่สาว แต่ตอนนี้ก็ตัดญาติขาดมิตรกับพี่สาวแล้ว
ฟาก ย่าของ น.ส.เอ (นามสมมติ) โต้ลูกสาว ระบุว่า ที่ลูกสาวและลูกเขยพูดไม่เป็นความจริง วันที่เกิดเหตุเห็นหลานนั่งร้องไห้อยู่ ตอนแรกลูกเขย (นายมลฑล) เข้าบ้านไปตามลูก หนสองเข้าไปทำหลาน ปู่ก็เห็นว่ามันเดินไปหาหลาน แต่ไม่ได้เห็นตอนทำอนาจาร ทั้งนี่ ย่ายืนยันว่าเรื่องที่เกิด เกิดก่อนที่นายมณฑลจะขาหัก
สำหรับคดีนี้ ทนายสงกาญ์ อัจฉริยะทรัพย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม มองว่า คดีนี้มีการทำอนาจารหลายครั้ง ครั้งที่ 1-6 มีการแจ้งความหรือไม่ แต่ปรากฎว่าไม่มีการแจ้งความเลย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือไม่ คนที่ถูกกระทำจะมาหาเขาอีก แล้วก็ถูกกระทำอีก เรื่องนี้ต้องไปยื่นที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้มีการตรวจสอบว่ามีพยานหลักฐานใหม่หรือไม่ และเป็นพยานหลักฐานชิ้นที่คิดว่ามีผลที่คำพิพากษาเปลี่ยนแปลง ก็มีโอกาสตัดสินใหม่ อย่างเรื่องเมื่อกี้ที่ภรรยาของนายมณฑล บอกว่าคลิปวงจรปิดจะเห็นว่านายมณฑลเดินเข้าไปในบ้านแค่เปปเดียว ก็ออกมา แต่มีการกล่าวอ้างว่า ตัวนายมณฑลเข้าไปในบ้านถึงครึ่งชั่วโมง ก็นำไปเป็นหลักฐานได้ สำหรับตอนนี้ถ้าคดียังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลทำอะไรไม่ได้ ที่ทำได้คือต้องรื้อฟื้นคดีอาญามาพิจารณาใหม่ซึ่งต้องรอคดีให้ถึงที่สุดก่อน แต่ทางที่เซฟที่สุดคือในระหว่างรอศาลฎีกาพิจารณาก็ยื่นรื้อฟื้นให้ทางกระทรวงยุติธรรมเข้าไปตรวจสอบก่อน แต่อย่าเพิ่งถอนฎีกา