จากกรณี พ่อพาลูกชายวัย 14 ปี ร้องสื่อ ถูกตำรวจอาสา ไล่กวดจับฝ่าเคอร์ฟิวขณะเอากาแฟไปให้แม่ที่เป็นพนักงานเก็บขยะ ถีบรถล้ม ปืนจ่อหัว ใส่กุญแจมือ ก่อนรุมกระทืบ แถมขู่ห้ามแจ้งความ ไม่งั้นจะจับติดคุก 10 ปี
.
วันที่ 26 ส.ค.2564 นายธนกฤต สุพิทิพย์ และ อมลวรรณ ผ่องพูน พ่อและของเยาวชนอายุ 14 ที่ถูกอาสาตำรวจทำร้าย พร้อมด้วย ด.ช.โก้ (นามสมมติ) เยาวชนชายอายุ 14 ปีที่ถูกอาสาตำรวจทำร้ายร่างกาย และ เกิดผล แก้วเกิด ทนายความ ได้ให้สัมภาษณ์ใน รายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ถึงประเด็นดังกล่าว
นายธนกฤต สุพิทิพย์ และ อมลวรรณ ผ่องพูน พ่อและแม่ของเยาวชนอายุ 14 ที่ถูกอาสาตำรวจทำร้าย เล่าให้ฟังถึงวันเกิดเหตุว่า ลูกชายซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 14 ปี ได้ขี่รถจักรยานยนต์เพื่อนำกาแฟไปให้แม่ที่ทำงานซึ่งเป็นพนักงานเก็บขยะของเมืองพัทยา ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว ระหว่างทางไปเจอเข้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจอาสาจำนวน 4 นาย ขี่รถติดตามมา ด้วยความที่ลูกชายฝ่าเคอร์ฟิวไป และเกิดความกลัวจึงรีบเร่งเครื่องหลบหนี ตอนนั้นลูกผมขี่ จยย.ออกไปตอนเคอร์ฟิวก็จริง แต่ลูกผมไม่ได้ตั้งใจจะหนี แค่ตกใจ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครตำรวจ จึงขี่รถติดตามจนทัน และหนึ่งในกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจอาสาได้ใช้เท้าถีบรถ จยย.จนล้มลง ก่อนที่จะใช้ปืนไม่ทราบชนิดมาจ่อศีรษะ แล้วล็อกกุญแจมือ และพากันรุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ แล้วมีการข่มขู่ว่าห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร
พอลูกถึงบ้านลูกก็ไม่ได้บอกอะไร แต่เห็นเขาหน้าบวมๆ ย่ามาบอกว่าตำรวจกระทืบ ผมเลยไปที่ป้อมตำรวจ เขาบอกว่าพาลูกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล มีตำรวจจริงเป็นหัวหน้าชุดป้อมตำรวจมาขอโทษแทนลูกน้องเขา บอกว่าลูกน้องทำเกินกว่าเหตุ ผมก็แจ้งความเลย พอวันต่อมา ก็มีตำรวจอาสามาขอโทษถึงบ้าน แต่ผมไม่ยอม เพราะว่าเขามารุมกระทืบลูกผม ถ้าลูกผมตายขึ้นมาจะทำยังไง ตอนแรกลูกผมปากแตก เลือดกำเดาไหล ตอนนี้มีอาการเจ็บหน้าอกอยู่บ้าง
นายธนกฤต เล่าให้ฟังว่า ที่บ้านมีอาชีพเก็บขยะ และเปิดร้านปะยาง เพราะทำอาชีพเดียวมันไม่พอก็เลยต้องทำอาชีพเสริม ส่วน ฟากผู้เป็นแม่ อมลวรรณ ผ่องพูน เป็นพนักงานเก็บขยะ แม่เก็บขยะอยู่ข้างถนน ฝั่งตรงข้ามบ้าน ก็เลยให้ลูกเอากาแฟมาให้ เราก็คิดว่าลูกจะเดินข้ามถนนมา ไม่คิดว่าลูกจะขี่ จยย.มา เพราะปกติเขาจะเดินไป พอเขาเจอตำรวจเขาตกใจเลยหนีไป เราตามไปไม่ทัน แค่จะบอกเขาว่าเขาเอารถมาให้แม่ขับกลับเอง
ทั้งนี้ โก้ (นามสมมติ) เยาวชนที่ถูกอาสาตำรวจทำร้ายร่างกาย ยืนยันว่า วันที่เกิดเหตุ ตัวเองโดนถีบรถล้ม เอาปืนจ่อหัว ล็อกกุญแจมือแล้วพาเข้าป้อม และมีการรุมกระทืบจริง
ทางรายการ ได้ติดต่อไปยัง นายบี (นามสมมติ) ตำรวจอาสาที่ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายเยาวชน ยืนยันว่า ไม่มีการถีบ จยย.ล้ม หรือเอาปืนจ่อหัว ตามที่เป็นข่าวเลย แถมวันที่เกิดเหตุ น้องโก้ ได้มีการ ขี่ จยย.ยกล้อ แข่งกับเพื่อน ตอนเวลาประมาณ 21.00 น. ครั้งแรกที่เห็น เราก็ไม่ได้ทำอะไร ปล่อยตัวไป จนครั้งที่ 2 เจอ เพื่อนเขา ซึ่งเป็นเยาวชนหญิงกับชาย ก็ได้มีการเข้าไปว่ากล่าวตักเตือน ให้รีบกลับบ้าน เขาก็กลับไปรวมตัวกันต่อที่อู่ จนรอบที่ 3 ประมาณใกล้เที่ยงคืน เห็นน้อง 2 คน ขี่ จยย.ย้อนศรมา แล้วเขาเห็นผม จึงขับรถหนี และมีการท้าทายว่า ถ้าแน่จริงก็ตามมา จนท.จึงขับรถตาม และมีการทำท่าชักปืนมาจะยิงพวกผม ทางนี้ก็กลัวนึกว่าน้องมีอาวุธ ทาง จนท.ก็บอกให้น้องจอด แต่น้องไม่จอด จนเขาเบรคแล้วรถมันพลิกคว่ำ ไม่มีคนไปถีบรถเขา จุดที่น้องล้มอยู่ห่างกับจุดที่ผมอยู่ประมาณ 5 เมตร ซึ่งมีกล้องวงจรปิด ไปไล่กล้องวงจรปิดดูได้ ไม่ได้ทำร้างร่างกาย เพราะขาเขา และศอก มีเลือดออก ที่ต้องใส่กุญแจมือเพราะ น้องจะโดดลงรถ ผมเลยต้องใส่กุญแจมือไว้ เรื่องปากฉีกเลือดกำเดาออก ผมไม่เห็นมีใครตบครับ เขาก็นั่งอยู่คนเดียว ที่ป้อมมีกล้องอยู่นะครับ มีเจ้าหน้าที่อยู่เขาก็เห็น ทุกอย่างที่ผมพูดเป็นความจริงครับ ผมไม่มีปืนครับ ไม่มีการจี้หัวน้อง อาสาตำรวจพกปืนไม่ได้อยู่แล้ว และทางเจ้าหน้าที่ก็ติดต่อไปทางบ้านน้องจะให้มารับตัวน้องโทรไปไม่ติด โทรหาคุณพ่อ โทรไม่ติด เรื่องนี้จะจบยังไงผมไม่รู้ ผมขอแค่ความถูกต้อง
ด้าน ทนายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความชื่อดัง เผยว่าสำหรับเรื่องนี้ ถ้าเป็นเรื่องจริง การกระทำของอาสานั้นผิดกฎหมายแน่นอน เพราะการจับกุมเด็กด้วยการใช้กำลังนั้นทำไม่ได้ และยิ่งเทียบกับความผิดของเด็กที่ออกจากบ้านหลังเคอร์ฟิว ขี่ จยย.ย้อนศรแค่นั้น การจับกุมเยาวชน ต้องส่งศาลเยาวชน เพื่อให้ศาลตรวจสอบว่าชอบหรือไม่ชอบ และจากที่ฟังทางตำรวจอาสา ดูแล้วเป็นหนังคนละม้วน แต่เรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก อย่างเรื่องหลักฐานในการโทรออกว่ามีการโทรจริงไหม ถ้าไม่มีการโทรจะมีหลักฐานยืนยัน เพราะมันเป็นเรื่องเวลาเคอร์ฟิว เข้าใจว่าการสอบสวนยังไม่เสร็จ ต้องมีหลายๆ อย่างสอบสวนต้องมีพยานหลักฐานหลายอย่างตำรวจตรวจสอบหรือยัง ถ้ารถล้มจริงต้องมีร่องรอยของการไถล ซึ่งจะแตกต่างจากการถูกถีบล้ม
ฟาก พ.ต.อ.ศักดิ์ชาย สุวรรณนุกูล ผกก.สภ.บางละมุง พูดถึงกรณีนี้ว่า ในส่วนของข้อมูลทางฝั่งอาสา ได้มีการเรียกมาสอบถามเหตุการณ์แล้ว ในตัวเหตุการณ์คล้ายกัน มาต่างกันตรงที่ ทางอาสาแจ้งว่า เด็กรถล้มเอง ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ซึ่งทางเด็กยืนยันว่าโดนถีบรถล้ม และมีการทำร้ายร่างกาย ซึ่งก็ต้องเอาหลักฐานพยานมาสู้กันในชั้นศาล ตอนนี้มีการให้ไปหากล้องวงจรปิดของเอกชน และตามรายทาง แต่ภายในป้อมไม่มีกล้องวงจรปิด ส่วนเรื่องปืนนั้น อาสาไม่สามารถพกปืนได้ ซึ่งอาสาชุดนี้เป็นอาสาที่มีการคัดเลือกมาแล้ว เขาทำงานโดยไม่ได้เงินเดือน เรื่องนี้คงต้องพิสูจน์กันที่ชั้นศาล แต่เบื้องต้นผมได้ออกคำสั่งให้มีการพักการปฏิบัติหน้าที่ไม่มีกำหนดไปก่อน ส่วนเรื่องการตรวจร่างกาย วันที่คุณแม่มาแจ้งความ ไม่ได้พาตัวเด็กมาด้วย จึงยังไม่มีการนัดหมายในการตรวจร่างกาย และสอบปากคำ ส่วนเรื่องกุญแจมือ โดยปกติตามแนวทางจะใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งในวันเกิดเหตุไม่ทราบว่าด้วยเหตุอะไร เบื้องต้นจังยังไม่มีการแจ้งข้อหาอะไร