จากกรณีหญิงสาวอายุ 34 ปี แม่ค้าขายของออนไลน์ ซื้อคอร์สผ่าตัดศัลยกรรมหน้าท้องที่คลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยเห็นโฆษณาทางเฟซบุ๊ก และเกิดช็อกหมดสติหลังผ่าตัดและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผลชันสูตรชี้สมองขาดออกซิเจน
วันนี้ (11 มิ.ย.2564) รายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ เปิดใจสัมภาษณ์ คุณหยก และ คุณแอม ญาติของผู้เสียชีวิต พร้อมด้วย ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต ทนายความชื่อดัง
คุณหยก และ คุณแอม ญาติของ คุณโบ๊ต อายุ 34 ปี ผู้เสียชีวิต เล่าให้ฟังว่า น้องซื้อคอร์สผ่าตัดศัลยกรรมหน้าท้องจากโฆษณาเพจเฟซบุ๊กคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ในราคาโปรโมชั่น 69,999 บาท รวมค่าอาหารและที่พัก 3 วัน 2 คืน โดยนัดเข้ารับการผ่าตัดเมื่อวันที่ 26 พ.ค.64 ที่ผ่านมา เป็นการผ่าตัดเอาไขมันส่วนเกินออก และผ่าตัดให้หน้าท้องเรียบ น้องมีการปรึกษากับครอบครัวว่าอยากทำ แต่ไม่คิดว่าจะทำเร็วขนาดนี้ ก่อนมาผ่าตัด ได้ไปตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลเอกชนที่จันทบุรี แล้วนำมายื่นให้ที่คลินิก แล้วมีการเซ็นทำสัญญา โดยที่ทางเราก็ไม่ได้อ่านรายละเอียดให้ชัดเจน ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วจ่ายค่าบริการส่วนที่เหลือเสร็จ เขาก็พาน้องขึ้นไปผ่าตัดเลย หลังเข้ารับการผัดตัดที่คลินิกใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ได้ถูกส่งตัวมาที่ห้องพักฟื้น โดยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดไม่ได้ติดตามมาดูอาการ ขณะที่ น้องฟื้นจากการผ่าตัด ตอนแรกยังไม่มีอาการเจ็บแผลอะไรเลย ยังถ่ายเซลฟี่ส่งให้แฟนดูได้ปกติ จนสักพักผ่านไปประมาณ 2 ชม. น้องบอกว่าปวดแผล จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่คลินิก ก่อนจะนำยาแก้ปวดมาฉีดใส่ทางสายน้ำเกลือ ซึ่งขณะนั้นไม่มีแพทย์และวิสัญญีแพทย์ จนอาการเริ่มไม่ดีขึ้น เริ่มพูดไม่ชัด และบอกว่าหายใจไม่ออก ก่อนจะหมดสติไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงนั้นบอกว่าเป็นลม แต่ญาติคิดว่ามันไม่ใช่ จึงนำเครื่องวัดชีพจรมาตรวจ พบว่าหัวใจเต้นอ่อน จึงได้รีบโทรแจ้งวิสัญญีแพทย์ได้ทราบ
เมื่อวิสัญญีแพทย์เดินทางมาถึงได้รีบปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่ชีพจรยังไม่กลับมา จึงต้องพาเข้าห้องผ่าตัด จนประมาณ 40 นาที ได้มีรถฉุกเฉิน 1669 เดินทางมารับตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งวิสัญญีแพทย์ได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่รถพยาบาลว่าไม่ให้เปิดไซเรนหน้าคลินิก ขอให้เปิดไซเรนตอนออกไปถึงถนนใหญ่แล้ว ตอนนำส่งโรงพยาบาลที่ 1 ได้มีการนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน วิสัญญีแพทย์ก็โทรตามหมอเจ้าของไข้มา แล้วเขาก็เข้าไปดู บอกแค่ว่ากำลังช่วยเหลืออยู่ แล้วบอกว่าจะทำเรื่องย้ายไปโรงพยาบาลที่ 2 ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่แพทย์เจ้าของไข้ทำงานอยู่ ระหว่างที่เดินทางไปโรงพยาบาลที่ 2 น้องมีอาการชักกระตุก พอไปถึงเขาก็ให้เซ็นให้ยินยอมที่จะรักษา ตอนนี้แพทย์อนุญาตให้ญาติเข้าไปดูอาการน้องได้ เราก็พยายามเรียกน้อง แต่น้องไม่ตอบสนองแล้ว จับมือน้องก็ไม่มีการตอบสนองอะไรกลับมา เขาให้อยู่ห้อง ICU ต้องดูอาการวันต่อวัน บอกอาการว่าน้องมีอาการน้ำท่วมปอด เพราะสมองขาดอากาศเกิน 5 นาที หลังจากนั้นอาการน้องก็ทรง ๆ ไม่ค่อยดีเท่าไร บางวันก็ดีบ้าง บางวันก็แย่ หลังจากรับการรักษาได้ประมาณ 14 วันอาการน้องไม่ดีขึ้น และได้เสียชีวิตลงเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 8 มิ.ย.64 ที่ผ่านมา ซึ่งผลการผ่าชันสูตรจากโรงพยาบาลจุฬาฯได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากสมองขาดอากาศ
คุณแอม น้องสาวของผู้เสียชีวิต ตั้งข้อสังเกต เรื่องการฉีดยาให้พี่สาวว่า ตอนที่หนูถามกับน้องที่ฉีด กับเจ้าของคลินิก คำตอบเขาไม่ตรงกันเลย หนูถามว่าน้องที่ฉีดคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงมาฉีดยาให้พี่สาวหนู เจ้าของคลินิกบอกว่าน้องเขาเอายามาฉีดเองโดยพลการ ไม่ได้ขออนุญาตก่อน แต่พอมาถามน้องเขา น้องเขาบอกว่าตลอด 10 กว่าเคสที่ผ่านมา เขาเป็นคนฉีดให้ทั้งหมด น้องเขาบอกว่าฉีดให้ 2 cc. แต่เจ้าของคลินิกบอกว่าตามปกติแล้วจะฉีดให้ 3 cc.
คุณหยก เผยว่า ช่วงอาทิตย์แรกทางคู่กรณีจะมาเฝ้าอยู่หน้าห้อง ICU ด้วยทุกวัน แล้วบอกว่าจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด ซึ่งเราต้องการความชัดเจนว่าจะรับผิดชอบอย่างไร เขาบอกกลับมาว่ารอให้น้องเสียก่อน น้องยังไม่เสียอย่าเพิ่งมาคุยกันเรื่องนี้ หลังจากน้องเสียชีวิตแล้ว เขาแค่จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร พอเรื่องนี้กลายเป็นข่าว เขาก็มาที่งานศพพร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง และตำรวจ มาพร้อมเช็ค 7 แสนบาท แต่คุณแม่ไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ารับมาแล้วจะจบเลยรึเปล่า ไม่รู้ว่าเอามาให้ทำไม ตอนนี้ทางครอบครัวติดใจสาเหตุการเสียชีวิตว่าเป็นเพราะยา หรือเป็นเพราะอะไร และได้มีการไปแจ้งความไว้ที่ สน.เตาปูน บันทึกไว้เป็นหลักฐาน
ด้าน ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต ตั้งข้อสังเกตว่า คลินิกหรือสถานพยาบาลเสริมความงาม ในช่วงเวลานี้ กทม. ยังไม่ประกาศให้เปิดคลินิก เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งถือเป็นการขัดคำสั่ง กทม. ทาง ศบค.ยังไม่ได้อนุญาตให้เปิดสถานพยาบาล ข้อนี้ผิดแน่นอน และอีกประเด็นคือใครเป็นคนสั่งยามาฉีดให้น้อง ความประมาทเกิดขึ้นจากใคร คนนั้นต้องรับผิดชอบ ต้องไปสืบหาว่า การฉีดยา นั้นเป็นผลให้เกิดอาการสมองขาดอากาศหรือไม่ และความประมาทนี้เกิดขึ้นจากใคร ใครเป็นคนประมาทก็ต้องรับโทษไปตามนั้น อันนี้เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ต้องมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ประมาทเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิต ส่วนควรจะเก็บศพไว้เพื่อชันสูตรหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทนายของเรื่องนี้ ว่าหลักฐานที่มีอยู่นี้เพียงพอแล้วหรือไม่ แต่จากหลายๆ เคสที่ผ่านมา ถ้าเผาศพไปแล้วหลักฐานหลาย ๆ อย่างก็จะหายไปด้วย
ส่วนทางแพ่ง ทางคลินิกและเจ้าหน้าที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน คิดจากรายได้ 1 เดือนของผู้เสียชีวิต คูณกับ 12 เดือน และอายุของผู้เสียชีวิต การเรียกค่าเสียหายเรียกได้ 2 วิธี 1.รอให้อัยการฟ้อง 2.ใช้ทนายฟ้องเลย ผมคิดว่าไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาล เพราะเป็นคดีผู้บริโภค ถ้าเป็นคดีผู้บริโภค ทางกฎหมายสามารถบวกค่าปรับในเชิงลงโทษเข้าไปได้อีก อย่างน้อย 1 เท่าของค่าเสียหาย ถ้าแค่เจรจาแล้วจบมันก็ได้ มันดีต่อผู้ต้องคดีอาญาด้วย เพราะสามารถเอาการให้เงินเยียวยานี้ ไปบอกต่อศาล เพื่อให้ลงโทษสถานเบาได้ด้วย
ในส่วนของการดำเนินคดีนั้น เบื้องต้น ต้องไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว สิ่งแรกที่จะต้องได้มาก่อนคือ เวชระเบียน จะได้รู้ว่าเขาฉีดอะไรเข้าไปให้น้อง ฉีดเท่าไหร่ ใครเป็นคนฉีด เป็นสิทธิ์ของญาติผู้ป่วยที่จะต้องรู้ หลังจากนี้ก็ไปตามที่ตำรวจ ว่าคดีดำเนินการไปถึงไหนแล้ว เพราะตำรวจเขาต้องสอบปากคำทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ คนที่ฉีดยา แพทย์ที่รักษา ไปจนถึงแพทย์ที่ชันสูตรศพ ระเบียบงานของพนักงานสอบสวน คือ จะต้องรายงานความคืบหน้าของคดีให้ผู้แจ้งความในทุก 15 วัน ถ้าไม่แจ้งจะถือว่ามีความผิด สำคัญที่สุดคือต้องมีทนายความ เพื่อที่จะได้ดูเอกสาร และหลักฐานทั้งหมด ว่าจะสามารถเอาผิดทางด้านอาญา หรือทางแพ่งพ่วงด้วยได้หรือไม่ รวมถึงต้องมีแพทย์ที่เราไว้ใจด้วย จะได้ให้ความเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา ประเด็นสำคัญก็คือ น้องพยาบาลที่ฉีด เขาเป็นพยาบาลจริงหรือไม่ เพราะจากที่เห็นมา เขาก็มีเอาน้องที่ไหนก็ไม่รู้ มาครูพักลักจำ แล้วก็ให้ฉีดเลย
สรุปผลโพล คุณเคยทำศัลยกรรมหรือไม่?
ติดตาม รายการ “ถกไม่เถียง” ดำเนินรายการโดย “ทิน โชคกมลกิจ” ภายใต้การผลิตของบริษัท เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และสามารถรับฟังผ่านทาง hitz955.com
+ อ่านเพิ่มเติม