ผมบริสุทธิ์ ผมไม่ได้ทำ หนุ่มถูกกล่าวหาว่าข่มขืนสาวรายหนึ่งที่พิการทางสติปัญญาจนตั้งท้อง เขายืนยันว่าเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เขาไม่ได้ทำ และไม่มีดีเอ็นเอของเขาปรากฎอยู่แม้แต่น้อย ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างรู้ดี เรื่องนี้มีลับลมคมใน และมีจุดน่าสงสัยบางอย่าง สุดท้ายแล้วเขาจะเป็นแพะหรือไม่
วันนี้ (24 พ.ค.2564) รายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ได้เชิญ นายสุวรรณ ละอองสำลี หนุ่มอ้างเป็นแพะคดีข่มขืน พร้อม นางทัศนีย์ ละอองสำลี และ นายวีระ ละอองสำลี แม่และพ่อของหนุ่มตกเป็นแพะ และ นายไพโรจน์ เพิ่มพิพัฒน์ ทนายความ มาพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
นางทัศนีย์ ละอองสำลี แม่ของ ต้น หนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ลงมือล่วงละเมิดเหยื่อ เล่าให้ฟังว่า อยู่ๆวันนึง ก็มีจนท.มาที่บ้าน มากัน 4 คน เขาก็มากินข้าวที่บ้าน เพราะที่บ้านเป็นร้านอาหาร เสร็จแล้วก็กลับ อีกวันเขามากัน 2 คน มากินข้าวแล้วทำทีเข้าห้องน้ำ อีกคนก็มาคุยถามหาลูกชาย ว่าลูกชายมีหมายจับ ฉันก็โทรหาลูกชายบอกมี ตร.มาหา แล้วส่งมือถือให้ลูกชายคุย
นายสุวรรณ ละอองสำลี หรือ ต้น ผู้ที่อ้างว่าเป็นแพะคดีข่มขืน เล่าต่อว่า พอแม่ส่งมือถือมาให้คุยกับทางตร. ผมก็ถามเขาว่าผมทำผิดอะไร แล้วขอเขาว่าทำงานเสร็จแล้วจะกลับไปหาที่บ้านเลย ตร.ก็บอกผมมีหมายจับ วันนั้นผมก็ไปที่โรงพักเลย เพราะผมไม่ได้ทำ ผมปฏิเสธทุกอย่าง เขาสอบสวนถึงเที่ยงคืน คืนนั้นผมนอนโรงพัก พอตอนเช้า ตร.ก็ถามผมว่าพร้อมตรวจดีเอ็นเอไหม ผมก็พร้อมตรวจดีเอ็นเอ พอตรวจเสร็จเขาก็พาผมไปฝากขังที่ศาล ญาติก็ช่วยกันเอาทองไปจำนำเพื่อให้ผมได้ประกัน ผมคิดอยู่ในใจแค่ว่าผมไม่ได้ทำ ผมสู้ ผมไปศาลคิวแรกเลยไปรอ วันที่ตร.พาผมมาศาล ตร.ถามว่ามีเงินมาให้ฝั่งเหยื่อไหม ถ้าพอมีเงินก็เอามาให้เขานะ วันที่ผมขึ้นศาล ศาลสั่งให้ตรวจดีเอ็นเออีกครั้ง เพื่อดูว่าลูกที่สาวพิการทางสมองคลอดออกมาตรงกับเด็กหรือไม่ ซึ่งผลออกมาไม่ตรงกันเลย
ทางด้าน ทนายไพโรจน์ เพิ่มพิพัฒน์ เล่าถึงที่มาที่ไปที่เข้ามาช่วยในเคสนี้ว่า อย่างเคสนี้ผมอยากช่วยเหลือ ตอนแรกผมยังไม่เชื่อ ผมเลยลงพื้นที่หาข้อมูล มันมีข้อสงสัยหลายอย่าง ทำให้ผมคิดว่าเขาบริสุทธิ์ ผมเลยยื่นมือช่วย ข้อสงสัยคือ เขาให้เด็กผู้เสียหายชี้ตัวผู้ก่อเหตุจากภาพถ่ายเฟซบุ๊กซึ่งเป็นภาพเก่า 3 ปีที่แล้วอย่างเดียว ซึ่งโดยหลักการต้องเป็นการชี้ตัวผู้กระทำผิดจากคนจริงๆ และด้วยภาพที่เป็นภาพเก่าแล้ว รูปร่างลักษณะก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไป อีกข้อสงสัยคือ พนง.สอบสวนเจ้าของสำนวน จะต้องตรวจดีเอ็นเอ คนในละแวก หรือครอบครัวด้วย ไม่ใช่ตรวจแค่จำเลย 2 คนนี้ ซึ่งผลออกมาก็ไม่ตรงกัน และโดยทั่วไปในห้องที่เกิดเหตุ พนง.สอบสวนสามารถพิสูจน์พวกเส้นผม ดีเอ็นเอได้ว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาอยู่ในที่เกิดเหตุไหม แต่พนง.สอบสวนไม่ได้ทำ ไม่มีในสำนวนใดๆทั้งสิ้น อีกข้อพิรุธคือเด็กบอกชื่อจำเลยที่ 1 ว่าชื่อ หนิง ซึ่งเป็นชื่อเก่านานแล้ว ซึ่งปัจจุบันเขาใช้ชื่อ เหลือง นั่นทำให้เป็นข้อสังเกตว่าทำไมเด็กถึงรู้จักชื่อเก่าที่เขาไม่ใช้มานานแล้ว
ทางรายการได้ติดต่อไปยัง นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดย นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ พูดถึงกรณีของผู้เสียหาย ที่เป็นผู้พิการทางสติปัญญาประเภทที่ 5 ว่า ผู้พิการทางสติปัญญาประเภทที่ 5 มีหลายระดับ บางคนสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ธรรมดา บางคนก็ต่ำมาก ถามว่าตรงนี้มีผลต่อความจำไหม ก็อาจจะทำให้ความจำมีความแตกต่างจากคนทั่วไป หรือบางทีเขาอาจจะแปลความหมายไม่ออกว่าการล่วงละเมิดทางเพศคืออะไร จากประสบการณ์ของผม ผมพบว่าการตั้งคำถามบางครั้งก็สามารถชักจูงให้ตอบผิดเพี้ยนไปได้ หรือการเอารูปมาให้ชี้ว่าใช่หรือไม่ใช่ ก็อาจจะเป็นการชี้นำ หรือทำให้ผิดเพี้ยนไปได้เหมือนกัน ถ้าทำตามหลักทางวิชาการ การให้ดูทีละรูป กับการเอารูปมารวมกันให้ชี้ ก็มีผลแตกต่างเหมือนกัน อีกทั้ง ผู้พิการทางสติปัญญาประเภทที่ 5 สามารถถูกสอนให้พูดตามได้ เพราะความรู้ความเข้าใจจะไม่เหมือนเด็กทั่วไป
นายสุวรรณ ละอองสำลี ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย.60 ที่โดนแจ้งความว่าไปก่อเหตุ ผมอยู่บ้าน มีหลักฐานเพราะผมไลฟ์สดเล่นกับไก่อยู่บ้าน ผมเสนอหลักฐานไปที่ศาลแล้ว ยืนยันผมไม่รู้จักหญิงผู้เสียหาย แต่รู้จักจำเลยที่ 1 เพราะผมเป็นลูกค้าไปซื้อไก่ที่บ้านเขา อีกทั้งบ้านผมอยู่ไกลจากที่เกิดเหตุ มันอยู่คนละเขต คนละตำบล คนละจังหวัด จะไปตรงนั้นได้ยังไง
นอกจากนี้ ทางรายการถกไม่เถียง ยังได้รับสายจาก นายสมปอง เพื่อนบ้านของยายผู้เสียหาย โทรเข้ามาให้ข้อมูล พร้อมทั้งตั้งข้อสงสัยถึงตัว ตา ของผู้เสียหายเอง ระบุว่า ทุกครั้งที่ยายออกไปข้างนอก ตาของเหยื่อกลับมาพักเที่ยง มากินข้าว เขาเห็นปลอดคน เขาก็สบโอกาสพาน้องผู้เสียหายเข้าห้อง คนเขารู้กันทั้งบาง ผมรู้จักกับยายของเด็ก บ้านผมใกล้กัน แต่ผมก็ไม่ได้เห็นกับตาหรอก ทีนี้พอเรื่องแดงออกมา เขาก็หนีเลย ไม่ได้อยู่ในพื้นที่แล้ว ตอนที่รู้ว่าตำรวจจับคนร้ายได้ ผมรู้เลยว่าไม่ใช่สองคนนี้ คิดว่าตำรวจมาจับคุณตา พอมาเป็นสองคนนี้ ก็ งง สิครับ
นายสุวรรณ ละอองสำลี ให้ข้อมูลเสริมว่า นายสมปองเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ผลดีเอ็นเอ ออกมา ตร.สองนายไปที่ อบต.เพื่อให้พาไปหาตา แต่ไม่เจอก็คุยกับยายผู้เสียหาย พี่สมปองก็อยู่ตรงนั้น แต่เขาไล่พี่สมปองออก แล้วเขาคุยกะไรกันไม่รู้ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมสู้มา 3 ปี เรือนจำก็เข้ามาแล้ว โดนตีตรวนเหมือนหมา โดนมองเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ผมคิดอยู่อย่างเดียวคิดถึงพ่อแม่ ใจยังสู้ บางทีก็อยากตาย มันอึดอัด แต่ไม่รู้จะพูดกับใคร ผมก็ภาวนาให้ได้ประกันตัวออกมาสู้ คนเราไม่ผิด ติดคุก 1 วัน เหมือนติดคุก 1 ปี มันเป็นเรื่องจริง ผมโดนมาแล้ว ผมคุยกับผู้คุมจนเขาเห็นใจรู้ว่าผมไม่ได้ทำ ชีวิตมันต้องสู้ งานก็ต้องทำ เงินก็ต้องหา ผมไม่ได้เป็นรวย คดีก็ต้องสู้ ข้าวกินไม่ลง นอนไม่หลับ ไม่ใช่ผมไม่สู้นะ แต่ถ้าติดคุกผมตายดีกว่า หมดทุกอย่าง ที่อยากตายไม่ใช่ไม่อยากสู้นะ แต่ไม่อยากให้พ่อแม่เดือดร้อน ชีวิตผมอยู่อีกไม่กี่เดือน มันก็ใกล้ตัดสินแล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 ยังอยู่ในคุก เขาก็ยืนยันว่าจะสู้ต่อ เพราะไม่ได้ทำ แต่เขาไม่ได้ประกันตัว เพราะไม่มีหลักทรัพย์สู้
ทนายไพโรจน์ เพิ่มพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า พนง.สอบสวนเหมือนเป็นต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม ถ้าพนง.สอบสวนมีการรวบรวมหลักฐานให้สะเด็ดน้ำเลย ให้มันดีให้มันใสสะอาดเลย กระบวนการยุติธรรมมันจะเหมือนทางน้ำ ที่จะเดินทางได้สะดวก แล้วส่วนใหญ่คดีร้ายแรงแบบนี้ โดยทั่วไปศาลอุทธรณ์จะไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะคดีร้ายแรงพวกนี้โดยพฤติการณ์อาจจะหลบหนีได้ แต่คดีนี้มันเหมือนมีอะไรที่ยังอยู่ในใจ ศาลท่านจึงให้ความกรุณาได้ประกันตัวในระหว่างฎีกา คดีนี้โทษ 23 ปี กระบวนยุติธรรมพวกนี้มีต้นทุนในการต่อสู้ จำเลยต้องพิสูจน์ตัวเองในการต่อสู้ ถ้าจำเลยไม่มีต้นทุน แล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ กระบวนการต่อสู้มันจะยาก
สรุปโพล ถ้ามีคนบอกว่า คุณทำผิด ทั้งๆ ที่คุณไม่ได้ทำ คุณจะ?
ทั้งนี้ รายการ ถกไม่เถียง ยังเปิดโอกาสให้ผู้ชมร่วมแสดงความคิดเห็น รับสิทธิพิเศษจากผู้สนับสนุนและพันธมิตรได้ทุกตอนผ่าน TERO Digital ได้ที่
ติดตาม รายการ “ถกไม่เถียง” ดำเนินรายการโดย “ทิน โชคกมลกิจ” ภายใต้การผลิตของบริษัท เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และสามารถรับฟังผ่านทาง hitz955.com