โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ที่สามารถโค่นล้ม นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นกว่า 75 ล้านเสียง คิดเป็น 50.6% ของผู้ไปใช้สิทธิ ขณะที่ ทรัมป์ ได้เพียง 71 ล้านเสียง คิดเป็น 47.7% ของผู้ไปใช้สิทธิ (ยังขาดคะแนนอีก 4 รัฐ)
การที่ “โจ ไบเดน” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีและแสดงสุนทรพจน์เพื่อสร้างความสมานฉันท์ปรองดองกับผู้สนับสนุนโดนัล ทรัมป์และประกาศเยียวยาสังคมแบ่งแยกแตกแยกในช่วงที่ผ่านมา สร้างความชัดเจนการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองสหรัฐฯ
ผู้สันทัดกรณีหลายๆ ท่านก็มองว่า หาก โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ เข้ารับตำแหน่งก็จะทำให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งเหตุผลนี้ เห็นได้จากดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกตลาด บรรยากาศสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนดูท่าทีผ่อนคลายลง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ของสหรัฐฯเริ่มมองเห็นชัด ทั้งการจัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูง เพื่อนำรายได้มาจ้างงานรายวันเพื่อ กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายพลังงานที่สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน ทำให้มองเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกกำลังดีขึ้น เมื่อเศรษฐกิจโลกดีขึ้น การส่งออกของประเทศไทยก็จะเริ่มดีขึ้น
และข่าวดีของคนทั่วโลก เมื่อไฟเซอร์ (Pfizer) และไบโอเอ็นเทค (BIONTECH) 2 บริษัทยาอเมริกายักษ์ใหญ่ แถลงผลทดลองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ผล 90% คาดเริ่มใช้สิ้นเดือน พ.ย.2563 หลังนำวัคซีนทดลองกับมนุษย์กลุ่มตัวอย่าง 43,500 คนใน 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ เยอรมนี บราซิล อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ ตุรกี สามารถป้องกันไม่ให้คนติดเชื้อโควิดได้มากถึง 90% ไม่พบปัญหาเรื่องความไม่ปลอดภัยกับผู้ร่วมทดลอง
และเตรียมขออนุญาตจากสหรัฐอเมริกาในเดือนนี้ เพื่อใช้วัคซีนดังกล่าวในกรณีฉุกเฉินกับองค์การอาหารและยา สหรัฐฯ ต่อไป โดยทางไฟเซอร์ประกาศเตรียมผลิตวัคซีน 50 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้และ 1.3 พันล้านโดสในปีหน้า มีความเป็นไปได้ว่าวัคซีนนี้อาจต้องฉีดอย่างน้อยคนละ 2 โดส ซึ่งต้องรอความชัดเจนต่อไป
ผลทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นตอบรับข่าวนี้ทันที ขณะที่ราคาทองคำกลับลดลงจากข่าวนี้ทันที
+ อ่านเพิ่มเติม