อดีตทีมข่าวแฉสื่อช่องดังสั่งเกาะติด 'คดีน้องชมพู่' อ้างเรียกเรตติ้ง คนดูชอบ
logo ข่าววันใหม่

อดีตทีมข่าวแฉสื่อช่องดังสั่งเกาะติด 'คดีน้องชมพู่' อ้างเรียกเรตติ้ง คนดูชอบ

ข่าววันใหม่ : อนุ กมธ.ด้านสื่อฯ ส.ว. เรียกอดีตหัวหน้าช่างภาพ-นักข่าวช่องดังให้ข้อมูลคดีน้องชมพู่ จ่อเรียก ผอ.ข่าว-กอง บก.สอบต้นเดือนหน้า ด้าน กสท ช่องดัง,หัวหน้าช่างภาพลาออก,คดีน้องชมพู่,แฉ,กสทช,จอดำ,ลงโทษ,อนุกมธ,เรียกเรตติ้ง

5,812 ครั้ง
|
17 ก.ย. 2563
อนุ กมธ.ด้านสื่อฯ ส.ว. เรียกอดีตหัวหน้าช่างภาพ-นักข่าวช่องดังให้ข้อมูลคดีน้องชมพู่ จ่อเรียก ผอ.ข่าว-กอง บก.สอบต้นเดือนหน้า ด้าน กสทช.ยันสั่งปรับ ลั่น หากทำผิดซ้ำ เจอจอดำแน่
 
คณะอนุกรรมธิการสิทธิเสรีภาพด้านสื่อสารมวลชนและสื่อสาธารณะ วุฒิสภา เชิญนายทรงพล เรืองสมุทร อดีตหัวหน้าช่างภาพข่าวและนายศักดิ์ดา วรรณสุทธิ์ อดีตผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลแห่งหนึ่ง เข้าให้ถ้อยคำต่อที่ประชุม ถึงกรณีการนำเสนอข่าวติดตามคดีการเสียชีวิตของเด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือน้องชมพู่
 
ทั้งนี้นายศักดิ์ดา ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวที่ลงพื้นที่บ้านกกกอกนานกว่า 1 เดือน ให้ข้อมูลว่าลำบากใจในการปฏิบัติหน้าที่ จึงตัดสินใจลาออก เพราะการเข้าถึงสิทธิส่วนบุคคลระหว่างทำข่าวกับชาวบ้าน พร้อมระบุว่า "บางทีชาวบ้านไม่ได้ปฏิเสธแต่เราก็ลำบากใจ เพราะเรื่องที่ถามไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีน้องชมพู่" ขณะที่นายทรงพลยอมรับว่าอึดอัดใจ ตนไม่ได้อยากออกมาแฉแต่อยากเปลี่ยนกระบวนการทำงานของสื่อมวลชน ไม่ให้โครงสร้างบิดเบี้ยวและอยากให้เสียงถึงผู้ใหญ่
 
นายศักดิ์ดายังยอมรับว่าลำบากใจในการนำเสนอเรื่องความเชื่อและร่างทรง แต่ไม่สามารถปฏิเสธกองบรรณาธิการได้ ส่วนการนำเสนอข่าวที่สร้างความขัดแย้งของคนในหมู่บ้านจนแตกเป็นสองฝ่ายคิดว่าสื่อมีส่วนสร้างความแตกแยก เนื่องจากเป็นการพูดผ่านสื่อไม่ได้คุยกันโดยตรงจนนำไปสู่ความเข้าใจผิด พร้อมยอมรับว่าถูกกดดันจากทั้งนายจ้างและประชาชนในพื้นที่
 
ส่วนนายทรงพล ยอมรับว่ามีความพยายามของกองบรรณาธิการที่จะบี้ประเด็นคนทำข่าวที่ลงพื้นที่ ที่จะต้องหาข่าวได้มากกว่าช่องอื่น จึงเป็นการใช้เสรีภาพของสื่อมากเกินความจำเป็น ล่วงเกินเสรีภาพของบุคคลที่เป็นแหล่งข่าว เพราะโครงสร้างสื่อปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับปากท้องมากกว่าจริยธรรม สาเหตุที่ตนลาออกเพราะรู้สึกละอาย
 
นายทรงพลยังเปิดเผยถึงกรณีการสัมภาษณ์พระในข่าว ซึ่งไม่ใช่พระในสำนักสงฆ์ ที่กองบรรณาธิการพยายามให้นักข่าวภาคสนาม ไปขอร้องให้พระแสดงอภินิหาร ไปคุยกับต้นไม้และถามว่าเห็นนิมิตอะไรหรือไม่ ซึ่งตนมองว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะมาอ้างว่าคนดูชอบ แต่เป็นการแก้ตัวที่ไม่มีความรับผิดชอบ พร้อมเปิดเผยว่าเคยหารือเรื่องนี้ในองค์กรแบบไม่เป็นทางการ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เห็นด้วย โดยบอกว่า "ทำแล้วมีคนดู เรตติ้งสูง เม็ดเงินเข้ามา ใครจะอยากเปลี่ยนเรื่อง"
 
ขณะที่พลโทพีระพงษ์ มานะกิจ ตัวแทนจาก กสทช. ย้ำว่าเป็นเรื่องของทุนสูงสุดในอุตสาหกรรมสื่อ ที่หากำไรกับเรื่องแบบนี้ ก่อนบอกไปยังผู้ร่วมชี้แจงว่า “น้องออกมาน่ะดีแล้ว"
 
พร้อมเปิดเผยข้อมูลว่าในปี 2562 ช่องดังกล่าว มีเรื่องร้องเรียนเข้ามา 3 เรื่อง ส่วนปีนี้ยังไม่จบปี มี 6 เรื่องที่ร้องเรียนเข้ามา ซึ่งโทษเป็นการปรับเงิน พร้อมอธิบายว่าการบังคับใช้กฎหมายของ กสทช. เป็นลักษณะขั้นบันได จากการปรับสู่การพักใช้ใบอนุญาตหรือจอดำ ไปจนถึงการเพิกถอนใบอนุญาต ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าช่องดังกล่าวถูกร้องเรียนถึง 9 ครั้งแล้ว จะดำเนินการขั้นที่เหนือกว่าการปรับหรือไม่ ตัวแทน กสทช.ยืนยันว่าหลังจากนี้หากช่องดังกล่าวถูกร้องเรียนในเรื่องเดิมและรุนแรงกว่า จะไม่ใช้การปรับ แต่จะพิจารณาถึงบทลงโทษอื่น เช่น การพักใบอนุญาตหรือจอดำในรายการนั้นๆ 
 
ทั้งนี้ประธานอนุกรรมาธิการยืนยันว่าจะสรุปประเด็นในเรื่องนี้ โดยจะเชิญตัวแทนกองบรรณาธิการข่าวและผู้อำนวยการฝ่ายข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องดังกล่าวมาสอบข้อเท็จจริงในต้นเดือนตุลาคม
 
 
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/4LJRw6qxq0o

ข่าวที่เกี่ยวข้อง