ทร.โต้ พท.ฉะแรงไม่มีจีทูจีเก๊เหมือนจำนำข้าว ชี้เป็นงบผูกพัน ลั่นไม่พับแผนสู้ไม่ถอย ยันต้องมีเรือดำน้ำ โวโพล 71% ปชป.อยากได้
logo TERO HOT SCOOP

ทร.โต้ พท.ฉะแรงไม่มีจีทูจีเก๊เหมือนจำนำข้าว ชี้เป็นงบผูกพัน ลั่นไม่พับแผนสู้ไม่ถอย ยันต้องมีเรือดำน้ำ โวโพล 71% ปชป.อยากได้

TERO HOT SCOOP : ทร.แถลงโต้ พท. ฉะแรงไม่มีจีทูจีเก๊เหมือนจำนำข้าว ชี้ซื้อเรือดำน้ำงบแบบผูกพัน บอก 2.25 หมื่นล้าน เทียบไม่ได้กับความคุ้มค่า ในการป กองทัพเรือ,จีทูจี,จำนำข้าว,ซื้อเรือดำน้ำ,พรรคเพื่อไทย,ประชาชนไม่เอาเรือดําน้ำ

11,412 ครั้ง
|
24 ส.ค. 2563
ทร.แถลงโต้ พท. ฉะแรงไม่มีจีทูจีเก๊เหมือนจำนำข้าว ชี้ซื้อเรือดำน้ำงบแบบผูกพัน บอก 2.25 หมื่นล้าน เทียบไม่ได้กับความคุ้มค่า ในการปกป้องผลประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลของไทย ลั่นหยุดสร้างความเกลียดชัง-ยืนยันว่า ทร. ไม่ใช่จำเลยสังคม ขอเห็นแก่ความสงบของประเทศชาติเป็นหลัก  โวโพลเนชั่น 71% ปชป.อยากได้ 
 
วันที่ 24 ส.ค. พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ กล่าวว่า สืบเนื่องจากที่กองทัพเรือเข้าชี้แจงงบประมาณต่อคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯ และมีคณะอนุกรรมาธิการฯบางคนนำข้อมูลมาแถลง แต่เป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน อาจเป็นการหวังผลทางการเมืองที่จะกระทบต่อรัฐบาล จึงจะนำข้อเท็จจริงมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ พร้อมยืนยันว่า กองทัพเรือเล็งเห็นความสำคัญของเรือดำน้ำมาตลอด จึงได้จัดหาเรือดำน้ำตามแผนยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ แต่มักจะถูกโยงเป็นประเด็นทางการเมือง
 
พลเรือเอกสิทธิพร ได้เล่าย้อนไปถึงการจัดหาเรือดำน้ำลำแรกที่ดำเนินการโดยจีทูจี หรือรัฐบาลกับรัฐบาลเมื่อปี 2560 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ประเทศเพื่อนบ้านต่างก็มีเรือดำน้ำเพิ่มขึ้น ส่วนประเทศไทยจัดหาลำแรกในปี 2560 จะเข้าประจำการปี 2566
 
ด้านพล.ร.ท.เถลิงศักดิ์ กล่าวว่า ในอดีตที่ประเทศไทยเคยมีเรือดำน้ำและสามารถข่มขวัญประเทศที่รุกรานน่านน้ำให้ถอยกลับไปได้ ซึ่งกองทัพเรือพยายามจัดซื้อเรือดำน้ำมาหลายปี แม้จะยังไม่เห็นสงครามโลกในขณะนี้ แต่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในน่านน้ำ อีกทั้งสหรัฐส่งเรือรบเข้าไปในพื้นที่ทะเลจีนใต้มากขึ้น หากเราไม่มีกำลังที่เข้มแข็งเพียงพอ ผลประโยชน์ของชาติย่อมกระทบแน่นอน แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ในทะเลจีนใต้จะไม่มีเหตุการณ์ปะทะนองเลือด ซึ่งตนเชื่อว่า มี และอย่าลืมว่า จัดซื้อวันนี้ อีก 6 ปีจึงจะได้เรือลำน้ำ ยืนยันว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ กองทัพเรือจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ราคา 22,500 ล้านบาท เมื่อเทียบผลประโยชน์ของชาติทางทะเล คิดเป็น ร้อยละ 0.093 เท่านั้น
 
“จากสถานการณ์ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ รวมถึงคาบสมุทรเกาหลี รวมถึงการวางกำลังทางเรือสหรัฐฯ ในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ความขัดแย้งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปะทะกัน ซึ่งส่งผลต่อเส้นทางการเดินเรือและผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศมูลค่ามหาศาลรวมถึงเปี 2572 ข้อตกลงระหว่างไทยกับมาเลเซียในการพัฒนาพื้นที่ร่วมทางทะเลหรือ เจดีเอจะยุติลงซื้อคาดว่าจะมีการพูดคุยเพื่อทำสัญญาก่อนปี 2572 ดังนั้นการที่เรามีเรือดำน้ำในปี 2570 จะส่งผลต่อการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ส่งผลให้ไทยไม่เสียเปรียบ” พล.ร.ท.เถลิงศักดิ์ กล่าว
 
ขณะที่พล.ร.ท.ธีรกุล กล่าวชี้แจงเรื่องงบประมาณในการจัดหาเรือดำน้ำลำที่2และ3ว่า เป็นการทยอยจ่ายทั้งหมด 7 ปี ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2566 ซึ่งเป็นการจัดหาต่อเนื่องเพื่อให้ครบสามลำ ไม่ใช่โครงการผูกพันงบประมาณที่เริ่มใหม่ในปี 2564 นี้ แต่เป็นโครงการในการเสริมสร้างกำลังของกองทัพที่เริ่มตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2569 เป็นการทยอยตั้งงบประมาณรายปีภายในงบประมาณที่กองทัพเรือได้รับตามปกติ ไม่ได้มีการขอรับงบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใด
 
และรายการนี้ได้ตราไว้แล้วในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งตามกำหนดที่ต้องชำระใน 7 งวดที่ตั้งไว้ในตอนแรก ระบุไว้ว่า ในปี 2563 จ่ายวงเงิน 3,375 ล้านบาท ปี 2564 วงเงิน 3,925 ล้านบาท ปี 2565 วงเงิน 2,640 ล้านบาท ปี 2566 วงเงิน 2,500 ล้านบาท ปี 2567 วงเงิน 3,060 ล้านบาท ปี 2568 วงเงิน 3,500 ล้านบาท ปี 2569 วงเงิน 3,500 ล้านบาท แต่เนื่องจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด รัฐบาลได้ให้หน่วยงานราชการโอนงบประมาณคืนไปใช้สำหรับการแก้ไขปัญหา ซึ่งกองทัพเรือได้เห็นถึงความสำคัญดังกล่าวจึงได้ตัดลดงบประมาณที่ได้ตั้งเอาไว้ในปีงบประมาณ 2563 และจ่ายงวดแรกในวงเงินงบประมาณของปี 2564 แทน และไปจบงวดสุดท้ายในปี 2570
 
พล.ร.ท.ธีรกุล กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามในปีนี้ได้มีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาการจัดทำคำขอของกองทัพเรือนั้น ได้มีการกำหนดรายละเอียดของงบประมาณตามคำแนะนำและความเห็นชอบของสำนักงบประมาณ โดยยึดความประหยัดและความคุ้มค่าตระหนักถึงคุณค่าของเงินทุกบาทของประเทศชาติและตั้งงบประมาณรายจ่ายอยู่ในกรอบที่เคยได้รับโดยประมาณมาทุกปี ทั้งนี้กองทัพเรือเตรียมลงนามในสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ในเดือนกันยายนนี้
 
น.อ.ธาดาวุธ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ให้ข่าวในสื่อต่างๆว่าการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 1 ไม่ถูกต้องและไม่มีกฎหมายรองรับนั้น นาวาเอก ธาดาวุธ ยืนยันว่า กองทัพเรือไม่เคยพูดเท็จกับประชาชน แต่การมีเรือดำน้ำจะช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรอง กองทัพเรือจึงได้ศึกษาและเสนอแนะต่อรัฐบาล กระทั่งในวันที่ 18 เมษายน 2560 ครม.มีมติเห็นชอบจัดหาเรือดำน้ำ 3 ลำ สืบเนื่องมาจากกองทัพเรือตระหนักถึงความจำเป็นของเรือดำน้ำ และพบว่า ข้อเสนอของจีนนั้นดีที่สุด และอนุมัติการจัดหาเรือดำน้ำในปี 2559
 
ส่วนที่บอกว่า จีทูจีปลอม เป็นการให้ข้อมูลเท็จ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารเรือ อนุมัติให้ประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำ และเสนาธิการทหารเรือเป็นผู้แทนในการลงนามข้อตกลง จึงยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความถูกต้อง พิจารณารอบคอบตามระเบียบวิธีราชการทุกประการ
 
ขณะที่รัฐบาลจีน สั่งการให้หน่วยงาน SASTIND ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐของจีนสำหรับการบริหารงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการส่งออกอาวุธ มอบอำนาจให้บริษัท CSOC และมอบอำนาจให้ประธานบริษัท CSOC มาลงนามแทน ดังนั้น คนที่มาลงนามของจีน ได้รับมอบอำนาจมาอย่างชัดเจน จึงเป็นจีทูจีของจริง ไม่ใช่จีทูจีของปลอม ส่วนประเด็นที่ยังคลาดเคลื่อน เรื่องการทำสัญญาระหว่างรัฐบาลจีนกับไทย
 
เนื่องจากเป็นจีทูจี คือ ความเอื้อเฟื้อมิตรไมตรีระหว่างรัฐบาล จึงไม่ใช้คำว่าสัญญา และใช้คำว่า ข้อตกลง ทำให้มีผู้เข้าใจผิดไปแปลว่า ข้อตกลงคือ MOU ที่ต้องลงนามโดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งที่ข้อตกลงนี้ เป็น Agreement ไม่ใช่ MOU
 
พล.ร.ต.อรรถพล กล่าวว่า การเจรจากับจีน อยู่บนพื้นฐานเรือดำน้ำ 3 ลำมาโดยตลอด และรัฐบาลจีนรับทราบการจัดหาเป็นระยะ แต่เนื่องจากประเทศไทยประสบปัญหาด้านงบประมาณจึงได้จัดหาเรือดำน้ำระยะที่ 1 จำนวน 1 ลำก่อน ซึ่งได้ลงนามข้อตกลงไปแล้ว ส่วนการจัดหาในระยะที่สองในปีงบประมาณ 2563 ถึง 2569 การเจรจาได้ข้อยุติแล้ว และสามารถจัดหาได้ในราคาลำละ 11,250 ล้านบาท ซึ่งมีราคาต่อลำต่ำกว่าลำที่หนึ่ง รวมถึงได้รับการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมประกอบด้วยแผ่นยางลดเสียงสะท้อน ระบบสื่อสารดาวเทียม ระบบสื่อสารข้อมูลทางยุทธวิธีและอาวุธทั้ง จรวดนำวิถี ทุ่นระเบิด ตอร์ปิโด
 
โดยมีมูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท ซึ่งไม่ต้องเพิ่มวงเงินแต่อย่างใด ดังนั้น ในปี 2560-2570 ประเทศไทยจะมีเรือลำดำหน้าตาคล้ายกันทั้งหมด 3 ลำ แต่หากไม่ดำเนินการตามที่เจรจาไว้ทั้งหมด ประเทศไทยก็จะหมดความน่าเชื่อถือเชิงพาณิชย์ การจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2-3 จึงมีความจำเป็น ซึ่งได้เสนอร่างข้อตกลงจ้างให้สำนักงานอัยการสูงสุดและกระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบแล้ว
 
ฟากพล.ร.ท.ประชาชาติ กล่าวถึงกรณี ที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. เพื่อไทย ที่ออกมาโจมตีกองทัพเรือ เปิดเผยเอกสารลับการจัดซื้อเรือดำน้ำ ว่า เป็นการพูดที่บิดเบือนข้อเท็จจริงนำไปซึ่งความแตกแยก นำมาสู่ความเกลียดชังต่อกองทัพและเป็นสิ่งที่ไม่สมควร และนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมือง และที่กล่าวหาว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ เป็นสัญญาเก๋ ก็ไม่เป็นความจริง จำนำข้าว ที่พรรคเพื่อไทย ทำต่างหากที่เป็น จีทูจีเก๊ และไม่ถูกต้อง แต่กองทัพเรือทำการซื้อแบบจีทูจีอย่างถูกต้องโปร่งใส ขอสังคมอย่าตกเป็นเหยื่อเรื่องการเมือง พร้อมชี้แจงว่าการจัดซื้อครั้งนี้ ไม่ได้จ่ายทั้งก้อน 2.25 หมื่นล้านบาท ในคราวเดียว ปี 64 ทั้งหมด
 
“การบอกว่าทร.ใช้เงินฟุ่มเฟือยเป็นข่าวเท็จที่มุ่งหวังประโยชน์ทางการเมือง เป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัวที่สุด ถามว่าจะยอมให้นักการมืองสร้างเรื่องที่ไม่เป็นจริงสรให้บ้านเมืองเดือดร้อนหรือ ถ้านักการเมืองหมดมุกแล้ว ก็หามุกอื่นเถอะ อย่าสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ ทร. เลย อย่าให้สังคมตกเป็นเครื่องมือการเมืองในวิถีเก่าๆ และสกปรกแบบนี้อีกเลย อย่าดึงประชาชนมาเลียดชังกองทัพเรือ ตอนนี้ปัญหาต่างๆ ถาโถมมาหลายเรื่อง การต่อสู้การเมือง ระหว่างรัฐบาล กับฝ่ายค้าน จะทำให้ประเทศชาติหยุดชะงัก และทร.ไม่ใช่จำเลย จึงวิงวอนว่าให้ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเห็นแก่ความสุขสงบประเทศป็นหลักด้วย”โฆษกกองทัพเรือ กล่าว
 
ทั้งนี้ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายพิจารณ์ ก็ได้ลุกขึ้นสอบถามกับคณะแถลงข่าวของกองทัพเรือ โดยนายพิจารณ์ กล่าวว่า คำชี้แจงของกองทัพเรือครั้งนี้ ไม่ได้ปรากฎในการชี้แจงของคณะอนุกรรมาธิการฯ และขอให้กองทัพวางตัวเป็นกลาง ลักษณะการพูดที่เหน็บแหนม และลดทอนความน่าเชื่อถือของตัวบุคคล ตนคิดว่า พฤติกรรมนี้ไม่ทำให้กองทัพเรือได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชน และตนได้ยินแต่คำว่าโควิดในการแถลงข่าว แต่ไม่ได้ยินคำว่า วิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงอยากสอบถามกองทัพเรือว่า มีแนวทางลดงบประมาณจากกำลังพลอย่างไร
 
ทำให้พล.ร.อ.สิทธิพร ได้กล่าวขออภัยหากมีการพาดพิง เพียงแต่อยากชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดหาเรือดำน้ำ พร้อมยืนยัน ก็มีแผนที่ลดกำลังพลต่อไป แต่เป็นเรื่องภายในของกองทัพเรือ
 
จากนั้นสื่อมวลชนได้สอบถามว่า กองทัพเรือจะฟ้องร้องบุคคลหรือพรรคการเมืองที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรหรือไม่ พล.ร.อ.สิทธิพร กล่าวว่า หน่วยงานจะพิจารณาต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไร
 
เมื่อถามว่า หากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 มีมติไม่เห็นชอบการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2-3 จะได้รับผลกระทบอย่างไรนั้น พล.ร.ต.อรรถพล กล่าวว่า หากไม่สามารถซื้อได้ในปีงบประมาณ 2564 ก็ไม่มีค่าปรับอะไร แต่เกรงว่า จะเกิดปัญหาเรื่องราคาที่อาจจะสูงขึ้นมาก ตลอดจนจะกระทบความน่าเชื่อถือในเชิงพาณิชย์ ทั้งที่ไทยจะได้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับจีน
 
เมื่อถามว่า ในเมื่อไม่มีค่าปรับนั้น สามารถเลื่อนไปอีกได้หรือไม่ เพราะขณะนี้มีการกล่าวหาว่ากองทัพเรือหวงโปรโมชั่นของแถมกว่า 2,100 ล้านบาท พล.ร.อ.สิทธิพร กล่าวว่า ยอมรับว่าหากเลื่อนไม่มีค่าปรับจริง แต่เราต้องเริ่มการเจรจาใหม่ทั้งหมด รวมถึงกระบวนการต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ว่ากองทัพเรือหวงแก่ได้โปรโมชั่นหรือของแถม แต่ถ้าได้ก็เอา เราพยายามแสดงให้เห็นข้อเท็จจริง โดยเฉพาะเรื่องการจัดสรรงบประมาณ และยืนยันว่าทร. มียุทธศาสตร์ และจะเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป
 
ส่วนที่มีข่าวกระแสผู้ใหญ่ในรัฐบาลล๊อบบี้คณะอนุกรรมาธิการฯโหวตผ่านการจัดหาเรือดำน้ำ พล.ร.อ.สิทธิพร กล่าวว่า กองทัพเรือมีหน้าที่การชี้แจงเท่านั้น ไม่มีหน้าที่อื่น และยืนยันว่าชี้แจงตามข้อเท็จ

โฆษกกองทัพเรือ อ้างผลสำรวจความพึงพอใจของประชาชน ต่อการจัดซื้อเรือดำน้ำ ของ เนชั่น ว่าสนับสนุนกองทัพเรือ 71% และยันว่า ทร. ไม่ใช่จำเลยของสังคม ขอวิงวอนให้เห็นแก่ความสุขสงบของประเทศชาติเป็นหลัก

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง