ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถนนราชดำเนิน คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ มีการจัดเสวนา ‘อุ้มหาย .. แล้วไง?’ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กรณีเกิดกระแสข่าวนักเคลื่อนไหวทางการเมืองไทย นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ประเทศกัมพูชา โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา อาทิ นายวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเขียน , นายพชร ธรรมมล นักร้อง-นักแสดง , น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ ประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา แห่งประเทศไทย (สนท.) , น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าว
นายวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเขียน มองว่ารัฐบาลไม่ใส่ใจต่อการหายตัวไปของคนไทยคนนึงในประเทศกัมพูชา ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยในการสร้างความโกรธแค้น ของคนในสังคมเพราะเป็นเหมือนถึงทางตัน พร้อมอยากให้ทุกคนมองเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องมนุษยธรรม เพราะนายวันเฉลิมคือคนไทยคนหนึ่ง อย่ามองว่า นายวันเฉลิม อยู่การเมืองฝ่ายไหน เกี่ยวข้องกับยาเสพติดชนิดใด อีกทั้งปัญหาการสูญหายของบุคคลในประเทศยังไม่มีกฎหมายควบคุมชัดเจน ทั้งที่ไทยเข้าร่วมในอนุสัญญาระหว่างประเทศมาแล้ว
อย่างไรก็ตามมองว่าเรื่องนี้ ดารา คนมีชื่อเสียง แสดงความเห็นทางการเมืองที่สร้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องการเมือง แต่สามารถพูดเรื่องสังคมส่วนรวมด้วย สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงคือการกระทำของตัวเองที่ยังคงย้อนวนมาอยู่เสมอ ซึ่งจะเป็นแรงปะทะเกิดขึ้นด้วย
น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าว มองว่าการอุ้มหายเป็นอาชญากรรมที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น และไม่ควรมีใครต้องลี้ภัยออกจากประเทศของตัวเอง เพียงเพราะการแสดงความเห็นทางการเมือง เพื่อหลีกหนีจากความหวาดกลัวการถูกคุกคาม
ส่วนตัวในฐานะผู้ทำข่าวด้านสิทธิมนุษยชน พบว่าคนไทยเข้าใจปัญหาผู้ลี้ภัยมากขึ้น ทั้งผู้ลี้ภัยภายในประเทศ และ ผู้ลี้ภัยนอกประเทศ ซึ่งการลี้ภัยทางการเมืองอยากให้คนเข้าใจว่าแม้จะไม่ได้สถานะรับรองจากองค์กรระหว่างประเทศ แต่ก็ถือเป็นผู้ลี้ภัย ส่วนการขอสถานะรับรองลี้ภัยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีกระบวนการขั้นตอน ไม่ใช่มองแค่ว่าเป็นผู้หลบหนีคดีจึงไม่ให้ความสำคัญ ทั้งๆ ที่ในด้านสิทธิมนุษยชนย้ำว่าไม่ควรมีใครต้องลี้ภัย หรือถูกอุ้มหาย และหากเขาทำผิดจริงก็ควรมีโอกาสเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ส่วนการนำเสนอข่าวในฐานะนักข่าวที่ต้องนำเสนอเรื่องนี้ ได้หาข้อเท็จจริงประสานกับเพื่อนนักข่าวที่กัมพูชา ไปพูดคุยกับในเหตุการณ์ การอุ้มหายนายวันเฉลิม จากคลิปภาพที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการยืนยันว่ามีเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นจริง และได้รำเสนอข่าวนี้ไปตามข้อเท็จจริงเพราะถือเป็นเรื่องของจรรยาบรรณสื่อมวลชน แต่ส่วนตัวยอมรับว่าการนำเสนอข่าวลักษณะนี้มีข้อจำกัด แต่ในปัจจุบันเมื่อช่องทางออนไลน์ ก็สามารถนำเสนอได้มากขึ้น
สำหรับบทบาทในภาครัฐเรื่องนี้ ส่วนตัวมองว่า การมีสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ปัญหาของประชาชนถูกหยิบยกมาพูดในสภาฯ มากขึ้นทำให้เห็นบทบาทภาคการเมืองและภาครัฐมากขึ้น รวมถึงการพูดถึงในสาธารณะทำให้เรื่องนี้อยู่ในความสนใจของกลุ่มผู้มีอำนาจ ประกอบกับการนำเรื่องนี้เข้าสู่กรรมาธิการของสภาฯ ทำให้รัฐมีการตอบสนองเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกระบวนการทางด้านการทูต รวมถึงกลไกต่างๆ ไม่ใช่การเพิกเฉย อย่างในอดีต
อย่างไรก็ตาม มองว่าความพยายามดิสเครดิต นายวันเฉลิม ที่ถูกอุ้มหาย ทั้งเรื่องของประเด็นการปลูกกัญชา เป็นกระบวนการทำให้เขาเป็นคนด้อยค่าเพื่อให้คนในสังคลืมคนเหล่านี้ ทำให้เขาหายไปทั้งตัวตนและความเป็นคนในสังคม โดยการให้สังคมรู้จักเขาในมุมที่ไม่ดี
น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ ประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา แห่งประเทศไทย (สนท.) กล่าวว่า การออกมาคิดแฮชแท็ก Saveวันเฉลิม หรือการผูกโบว์ขาว ไม่ได้เป็นกิจกรรมเลือกข้างทางการเมือง แต่เป็นความพยายามส่งเสียงแทนนายวันเฉลิม ให้คนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างบรรทัดฐานในสังคม และเรื่องนี้ยอมรับว่าในมุมของนักศึกษา ด้วยกันรู้สึกโกรธ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านๆมามันสะสม ประกอบกับ ท่าทีของผู้เกี่ยวข้องเรื่องนี้ ทั้ง นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไม่เหมาะสม เหมือนมองว่าผู้ลี้ภัยไม่ใช่คน มีความพยายามใช้กฎหมายมาสกัดกั้นการเรียกร้องให้นายวันเฉลิม ทำให้ไม่เห็นสปิริตการเป็นผู้นำจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นผู้นำที่ไม่เห็นหัวประชาชน
+ อ่านเพิ่มเติม