เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร ปมซ่อนเงื่อนของครอบครัวที่สุดแสนอบอุ่น เพียบพร้อมด้วยฐานะ วัตถุ และผู้เป็นพ่อแม่ยังเป็นถึง ‘อาจารย์’ แต่ด้วยปัญหารอยร้าวภายใน ได้นำมาสู่คดีสุดฉงน ‘พ่อข่มขืนลูกในไส้’ ทีมข่าวช่อง 3 ออนไลน์จะสรุปม้วนเดียวจบภายในหน้าเดียว โดยมีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้…
- เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อนางเอ(นามสมมติ) แจ้งจับนายบี(นามสมมติ) ผู้เป็นสามีข้อหาล่วงละเมิดทางเพศลูกสาววัย 9 ขวบ และลูกชายวัย 7 ขวบ เป็นเวลานานหลายเดือน โดยอาศัยช่วงที่ตนไม่อยู่ลงมือก่อเหตุ ซึ่งทั้งคู่เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา
- โดยนางเอ ทราบเรื่องจากเพื่อนบ้าน(นางเอมักจะฝากลูกสาวไว้ให้เพื่อนบ้านเลี้ยง) ซึ่งเพื่อนบ้านสังเกตเห็นว่า เด็กหญิงมีอาการแปลก ๆ และมักบ่นว่าเจ็บอวัยวะเพศ จึงได้สอบถามเด็ก และได้ความว่าถูกพ่อล่วงละเมิดทางเพศทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ที่บ้านพักอยู่เป็นประจำ
- เมื่อเธอทราบเรื่องก็ได้พาลูกทั้งสองออกมาอาศัยอยู่บ้านแม่ แต่ก็ยังถูกสามีตามคุกคามข่มขู่
- 12 พ.ค.63 นางเอได้ออกมาร้องสื่อ และเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เพื่อขอให้เร่งรัดคดีและตีแผ่พฤติกรรมต่ำทรามของสามีที่ข่มขืนลูกในไส้ เนื่องจากคดีไม่มีความคืบหน้า
- ต่อมา ลูกสาว และลูกชายบอกแม่ว่า พ่อกระทำโดยการถอดกางเกง และได้นำอวัยวะเพศสอดใส่ ซึ่งตนเองรู้สึกเจ็บมาก และพยายามจะบอกแม่หลายครั้ง แต่ก็ถูกพ่อข่มขู่ว่า หากไปบอกแม่จะทำโทษ และเอาไปขายให้กับคนอื่น
- ต่อมานายบีผู้เป็นพ่อได้เดินทางเข้าพบตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และได้เผยความในใจกับทีมข่าวช่อง 3 ทั้งน้ำตาว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง ซึ่งคาดว่าภรรยาของตนอาจเกิดความเครียด และดูข่าวข่มขืนตามสื่อต่างๆ มากเกินไป จนเกิดความระแวง ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็ไม่ได้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยาแต่อย่างใด
- นายบี ผู้เป็นพ่อ เล่าอีกว่า อยู่มาวันหนึ่งระหว่างหลับอยู่ ภรรยาก็ตื่นขึ้นมากลางดึก และสะกิดบอกว่า "อย่าทำลูกนะ อย่าทำแบบนี้" ตนก็งงว่าทำอะไร เวลานอนก็นอนรวมกันทั้งหมดพ่อแม่ลูก
- ต่อมาภรรยาก็เก็บข้าวของออกจากบ้าน บอกว่าจะพาลูกไปอยู่บ้านแม่ ตนก็เข้าใจว่าคงไปเที่ยวหายายตามปกติ แต่ภรรยาและลูกไม่กลับมาเหมือนเคย มิหนำซ้ำยังเดินทางไปแจ้งความ
- ผู้เป็นพ่อยังเล่าอีกว่า ที่ผ่านมาภรรยาของตนเวลามีความเครียดก็จะเก็บตัวเงียบ และเหม่อลอย คล้ายคนมีอาการป่วยทางจิต แต่ก็ไม่มีอาการนานแล้ว
- 13 พ.ค.63 ด้านแม่ของนางเอ ซึ่งเป็นยายของเด็กเปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ลูก(นางเอ)นำหลานทั้งสองคนกลับมาอยู่ด้วยที่บ้าน และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่ตนก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ขอให้ลูกกลับไปคุยกับสามีก่อนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่ก็รอฟังผลตรวจร่างกายอยู่เช่นกัน
- ส่วนกรณีที่ลูกเขย(นายบี)ระบุว่า ลูกสาวตนอาจจะป่วยทางจิต หรือมีอาการทางจิตอ่อนๆ นั้น ไม่เป็นความจริง แต่ลูกเคยมีอาการเครียดและช็อกตอนพ่อเสียชีวิต ซึ่งนานมากแล้วและไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาล
- ส่วนกรณีเรื่องทะเลาะกันระหว่างลูกสาวตนและลูกเขย ในอดีตเคยมีช่วงที่ลูกเขยไปเรียนต่อต่างประเทศ ช่วงนั้นเธอต้องเลี้ยงลูกคนเดียว พบว่าช่วงที่สามีอยู่เมืองนอก มีการถ่ายรูปกับผู้หญิงลงเฟซบุ๊ก ลูกสาวตนไม่พอใจจึงเดินทางไปต่างประเทศเพื่อสอบถามเรื่องนี้ จากนั้นก็กลับมาปกติ อยู่ด้วยกันจนลูกโต
- ยายของเด็กยังเล่าอีกว่า เท่าที่ทราบหลานบอกว่าไม่ได้ถูกกระทำ แต่ที่ร้องเพราะถูกพ่อตี
- ขณะที่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยที่ทั้งสองคนเป็นอาจารย์สอนอยู่ เปิดเผยว่า ไม่คิดว่าอาจารย์ทั้งสองจะมีพฤติกรรมตามในข่าว เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ได้เคยพูดคุย ทั้งคู่เป็นอาจารย์ที่ดี มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน แต่เท่าที่เคยได้ยินจากคนอื่นมา ฝ่ายหญิงค่อนข้างจะหึงหวงฝ่ายชายมากไปหน่อย
- ด้าน พ.ต.อ.กฤตยา เลาประสพวัฒนา ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา เปิดเผยว่า ต้องประสานเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ ดำเนินการสอบปากคำเด็กทั้งสองคนเพิ่มเติม เนื่องจากการสอบปากคำครั้งแรกเด็กไม่ได้ให้การว่าถูกพ่อเป็นผู้กระทำ
- ต่อมา 16 พ.ค. ผลตรวจร่างกายจากแพทย์ปรากฎว่า พบร่องรอยอวัยวะเพศและช่องทวารฉีกขาด โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหากระทำชำเรากับเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี แก่ผู้เป็นพ่อ โดยผู้ถูกกล่าวหายืนกรานปฎิเสธ
- เรื่องมาถึงจุดพีคเมื่อมีคลิปเสียงที่นางเอหรือแม่ของเด็กพูดคุยและสอบถามเรื่องราวทั้งหมดกับลูกทั้ง 2 คน โดยลูกสาวเล่าว่า ถูกพ่อ ปู่ และอีก 2 คน กระทำชำเราในบ้านพัก หรือบางครั้งจะถูกพาไปยังบ้านของปู่ ซึ่งทั้งตัวเองและน้องชายก็จะถูกกระทำชำเราด้วยกัน โดยได้ร้องไห้และพยายามร้องขอพ่อแล้ว แต่พ่อไม่ฟังและไม่พูดอะไรเลย
- ลูกสาวยังเล่าด้วยว่า บางครั้งพ่อก็จะลงมือกระทำชำเราบนรถยนต์ โดยน้องชายก็อยู่ในรถและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วย ก่อนที่แม่จะหันไปสอบถามลูกชาย ซึ่งลูกชายก็ยืนยันว่าเห็นพ่อขืนใจพี่สาวบนรถเช่นกัน
- ทุกครั้งที่ถูกพ่อและปู่กระทำชำเรา ทั้งคู่จะข่มขู่ว่าห้ามนำเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้แม่ฟัง ไม่เช่นนั้นจะทำร้ายและนำไปขาย แม้จะพยายามร้องขอให้ปล่อยตัวเองและน้อง แต่ก็ไม่มีใครฟังและยอมปล่อย
- นอกจากนี้ทั้งลูกสาวและลูกชายยังเล่าด้วยว่า ถูกบังคับให้กินยาแคปซูลสีแดง คล้ายเม็ดรางจืด โดยจะให้กินคนละ 1 เม็ด ซึ่งเมื่อถามก็บอกว่าเป็นยาชูกำลัง ด้วยความกลัวก็ยอมกินไป แต่จะอมยาไว้และแอบคายทิ้งที่บ้าน
- ล่าสุด พ.ต.อ.กฤตยา เปิดเผยว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบพยานหลักฐานว่ามีปู่ของเด็ก หรือบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และจากคำให้การของเด็กทั้ง 2 คน ต่อหน้าสหวิชาชีพ ก็ไม่ระบุว่า มีปู่หรือบุคคลอื่นเกี่ยวข้อง จึงไม่ทราบว่าหลักฐานดังกล่าวมีจริงหรือไม่ หรือมีที่มาที่ไปอย่างไร
- ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งรวบรวมสรุปสำนวนส่งอัยการ เพื่อพิจารณาฟ้องผู้ต้องหา คาดว่าประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะสามารถสรุปสำนวนคดีส่งอัยการฟ้องศาลต่อไป
- ขณะที่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยต้นสังกัดได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อดำเนินการทางวินัย แต่ในเบื้องต้น ทางมหาวิทยาลัยได้ให้ทั้งคู่หยุดการสอนนักศึกษาไปก่อน.