ตำรวจคุมตัวพนักงานชิปปิ้ง ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ธนาคาร ธ.ก.ส. หลังใช้ปืนชิงทรัพย์เงินกว่า 1 แสนบาท รวมทั้งชี้จุดที่ขโมยแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์คนอื่นมาปิดแผ่นป้ายทะเบียนรถที่ใช้ก่อเหตุ
ตำรวจ สน.ประเวศ ควบคุมตัว นายวัชระ ไทยเที่ยง อายุ 39 ปี พนักงานชิปปิ้งในบริษัทนำเข้าแห่งหนึ่ง ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. สาขาย่อยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เขตประเวศ หลังใช้อาวุธปืนชิงทรัพย์ เงินสดไป 106,000 บาท เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา
หลังจับกุมตัวได้ที่บ้านเอื้ออาทรร่มเกล้า 2 ถนนเคหะร่มเกล้า แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นบ้านของแฟนสาว พร้อมของกลาง รถจักรยานยนต์ ฮอนด้า รุ่นคลิก 125 ไอ
จากนั้นได้นำผู้ต้องหาไปชี้จุดที่บริเวณเคหะคลองจั่น ซึ่งเป็นจุดที่ไปขโมยป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ของประชาชนที่จอดไว้ เพื่อนำไปปิดทับรถจักรยานยนต์ของตัวเองที่ใช้ก่อเหตุ เพื่อหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ โดยขณะที่ไปชี้จุดเจ้าของรถคันดังกล่าวได้เดินมาดู พร้อมต่อว่าผู้ต้องหาที่ทำให้ต้องเดือดร้อน ทั้งที่ตนเองไม่เกี่ยวข้อง
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ยังได้งมค้นหาปืนของกลางในคลองย่านลาดกระบัง ที่ผู้ต้องหาอ้างว่านำมาโยนทิ้งไว้ หลังก่อเหตุ แต่เบื้องต้นตำรวจยังไม่พบปืนดังกล่าว
ทั้งนี้จากการสอบปากคำ ตอนแรกผู้ต้องหาตั้งใจจะไปก่อเหตุที่ธนาคารทหารไทย สาขาบิ๊กซี สุขาภิบาล 1 แต่ก่อนจะลงมือมีรถขนเงินมาส่งเงินยังธาคารดังกล่าว จึงเปลี่ยนใจไปก่อเหตุที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. สาขาย่อยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 แทน เพราะใกล้เวลาธนาคารปิดทำการ
สอบสวนทราบว่า นายวัชระมีอาชีพเป็นชิปปิ้งในบริษัทนำเข้าแห่งหนึ่ง ส่วนมูลเหตุจูงใจมาจาก นายวัชระได้ยักยอกเงินของบริษัทไปใช้จ่ายส่วนตัว แล้วหมุนเงินไม่ทัน อีกทั้งยังเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ นักดื่ม นักเที่ยว สายเปย์หญิง เงินจึงหมดไปกับเรื่องเหล่านี้ จึงตัดสินใจก่อเหตุเพื่อหาเงินมาคืนบริษัท
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ในวันเกิดเหตุ คนร้ายได้สวมหมวกกันน็อกเต็มใบ สีดำ สวมแจ็กเก็ตแขนยาวสีเข้ม กางเกงยีนส์ขายาว ใส่รองเท้าผ้าใบสีดำ โดยคนเตรียมการเป็นอย่างดี มีทั้งการเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า เพื่ออำพรางในการหลบหนี โดยเฉพาะการใช้รถจักรยานยนต์ที่มีการเปลี่ยนสลับป้ายทะเบียน ซึ่งหลังก่อเหตุก็ได้ขับรถวกวน เป็นระยะทางกว่า 70 ถึง 80 กิโลเมตร เพื่อให้เจ้าหน้าที่สับสน จากการตรวจสอบเส้นทางหลบหนีจากกล้องวงจรปิด ยังพบว่า ก่อนก่อเหตุได้มีการมาดูลาดเลาหลายครั้ง โดยผู้ก่อเหตุเพียงคนเดียว ไม่ได้รับการช่วยเหลือ หรือการสนับสนุนจากคนอื่น ซึ่งคดีนี้ตำรวจใช้เวลาเพียง 9 วัน ก็สามารถจับกุมคนร้ายได้ในที่สุด
+ อ่านเพิ่มเติม