ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันที่ 25 ก.พ. 63 นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหมกล่าวว่า ตั้งแต่ประเทศไทยเสียกรุงไปแล้วหลายครั้ง และสมัยพลเอกประยุทธ์ เรียกได้ว่าเป็นยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำ ถดถอยและเสื่อมที่สุดของประเทศสุ่มเสียงที่จะเสียกรุงเป็นครั้งที่ 5 และก่อนหน้านี้อ้างว่าหลังเลือกตั้งจะได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก แต่ทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ กลับไม่เคยแถลงเรื่องรายได้ทางเศรษฐกิจเข้าประเทศ มีเพียงการถ่ายรูปกับผู้นำนานาชาติมาโชว์คนในประเทศ
ดังนั้นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีอ้างว่าเศรษฐกิจประเทศไทยดีน่าจะหมายถึงประเทศอื่น หรือหากจะบอกว่าประเทศไทยเศรษฐกิจดีก็เป็นช่วงรัฐบาลไทยรักไทยระหว่างปี 2544 ถึง 2546 เพราะปัจจุบันโรงงานปิดตัวนับไม่ถ้วน ตัวเลขคนตกงานมากกว่า 3เท่าของโรงงานที่มีอยู่
ขณะเดียวกันก็ทอดทิ้งภาคเกษตรอุ้มภาคอุตสาหกรรม ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศจนลง แต่กลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลกับรวยเพิ่มขึ้น รัฐบาลควรใช้ศักยภาพของคนรวยมาช่วยพัฒนาประเทศเพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนที่ห่างกันสูงมาก เพราะมีสถิติความเหลื่อมล้ำจากทีดีอาร์ไอ ระบุว่าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมืองมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 76% แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองกลับมีหนี้สินหนึ่งเพิ่มขึ้น 79.1%
สาเหตุที่ประชาชนยังทนได้เพราะถูกฉีดยาชา จากนโยบายประชานิยม เช่น ชิมช็อปใช้ แต่เมื่อไหร่ที่ยาหมดฤทธิ์ก็จะเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจเวเนซุเอลา
จึงไม่สามารถไว้วางใจให้พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศต่อได้ เห็นชัดเจนแล้วว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ เพราะเลือกคนรวยไม่ช่วยคนจน หากอยู่ต่อความเหลื่อมล้ำจะยิ่งเพิ่มขึ้นมากและยากเกินที่จะแก้ไข แล้วก็จะเกิดวิกฤติสังคม
จึงขอให้นายกรัฐมนตรีเห็นแก่บ้านเมืองด้วยการลาออก