เปิดฉากปีหนู 2563 เรียกได้ว่าเริ่มต้นได้อย่างร้อนระอุสะท้านทรวงเป็นอย่างมาก เพราะสถานการณ์ในช่วงเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมานั้น ได้เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญคนไทยมากมายซึ่งทำเอาหลายคนถึงกับกุมขมับกันเลยทีเดียว วันนี้ทีมข่าวได้รวบรวม 7 เหตุการณ์สะเทือนขวัญปีหนูดุ ตลอดเดือนมกราคมจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ให้แฟนข่าวได้ทบทวนกันอีกครั้ง
สุดสะเทือนขวัญ! คนร้ายใจเหี้ยม กราดยิงชิงทองกลางห้างดังเมืองลพบุรี
ถือเป็นคดีที่สะเทือนใจคนทั่วประเทศ หลังเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 63 เกิดเหตุชิงทรัพย์ร้านทองภายในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ลพบุรี มีผู้เสียชีวิต 3 ราย หนึ่งในนั้นคือน้องไทตัล ที่อายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น และยังมีผู้บาดเจ็บ 4 ราย
กระทั่งวันที่ 22 ม.ค.63 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เบาะแสสำคัญ ที่นำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐาน ขอศาลออกหมายจับ แต่แล้วสังคมต้องช็อกอย่างหนัก เมื่อคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้คือ นายประสิทธิชัย เขาแก้ว อายุ 38 ปี หรือ ผอ.กอล์ฟ ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี
ด้าน นายประสิทธิชัย รับสารภาพว่าที่ตัดสินใจทำเพราะเกิดจากปัญหาส่วนตัวและหนี้สิน ที่ต้องยิงคนอื่นทำเพราะเปิดทางข่มขู่ให้กลัว มีการคิดล่วงหน้ามา 2-3 วัน ที่เห็นว่ายิงพนักงานขายทองซ้ำ เพราะตอนปีนขึ้นตู้กระจกถุงมือมันเข้าไปติดไกปืน พยายามขยับออกมันก็กระตุกไปที่ไกปืน พอจะดึงออกเลยยิงโดนพนักงานอีก ส่วนที่ยิง รปภ.นัดแรกนั้นตั้งใจยิงเปิดทาง ลูกกระสุนแฉลบไปโดนเด็กโดยไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกสำนึกผิดกับกระสุนที่โดนเด็ก สำนึกและเสียใจกับการกระทำ พร้อมยืนยันไม่ได้อยากดังหรือหรือต้องการถูกวิสามัญตามที่เป็นข่าว
สุดอำมหิต ฆาตกรเหี้ยม ฆ่ารัดคอเปลือย ‘ครูโน้ต’ หมกห้องน้ำ
คดีฆ่าชิงทรัพย์ น.ส.เนติมา พัฒนากุล หรือ หรือ ครูโน้ต อายุ 39 ปี อาจารย์คณะคุรุศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จ.ฉะเชิงเทรา เสียชีวิตภายในห้องน้ำบ้านพัก ลักษณะนอนหงายเปลือยกาย
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการเก็บหลักฐานรอยเลือดที่หยดภายในบ้านผู้ตาย เพื่อนำไปตรวจสอบว่าเป็นเลือดใคร และสืบหาจนกระทั่งสามารถตามจับกุมคนร้าย ทราบชื่อคือ นายสันต์ สิทธิชัย หรือ แจ็ค วัย 39 ปี ได้ให้การรับสารภาพว่า ตนย้ายมาอยู่บ้านของภรรยาที่แปดริ้ว ซึ่งหลังบ้านนั้นติดกันกับบ้านของผู้ตาย โดยเดินผ่านหลังคา ก่อนจะเลาะรอบตัวบ้าน ไปจนถึงระเบียงหลังบ้าน จากนั้นจึงทำการก่อเหตุเพราะต้องการทรัพย์สิน และกลัวผู้ตายจำหน้าของตนได้ จึงได้ลงมือฆ่าทิ้งอย่างอำมหิต
เพื่อนบ้านโหด ถอยเก๋งตั้งลำ ก่อนเหยียบคันเร่งเต็มแรง พุ่งชน ‘นายช่างโยธา’ ดับคาที่
เหตุการณ์ที่ใครหลายคนคิดว่าไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยสำหรับ คดีเพื่อนบ้านโหดขับรถพุ่งชนนายช่างโยธาจนเสียชีวิต เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จ.พระนครศรีอยุธยา โดยกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้
เมื่อนายสุพรรณ ญาติบรรทุง อายุ 57 ปี เป็นนายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักก่อสร้างทาง กรมทางหลวงชนบท กำลังทำความสะอาดบ้านของตนเอง ขณะเดียวกันนั้น เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามได้ถอยรถเก๋งสีบรอนซ์ออกมาจากบ้าน หลังจากนั้นได้ถอยรถตั้งลำ ก่อนก็ขับรถพุ่งชนนายสุพรรณ จนร่างกระเด็นเสียชีวิต ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ถึงพฤติกรรมของเพื่อนบ้านโหดรายนี้อย่างยิ่งผู้ในเวลาต่อมาผู้ต้องหาได้เข้ามามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจโรงพักพระนครศรีอยุธยา
ทราบชื่อคือ นายไพบูลย์ ส่างสาร อายุ 56 ปี พร้อมเล่าเหตุการณ์ว่า หลังจากก่อเหตุได้หลบหนี ไปยังจ.สมุทรสงคราม ซึ่งระหว่างหลบหนีนั้นเกิดอาการทุกข์มาโดยตลอด และทนกระแสสังคมไม่ไหว จึงตัดสินใจติดต่อให้ภรรยาพาเข้ามอบตัว ทั้งนี้สาเหตุเกิดจาก ผู้ตายฉีดน้ำมาหาตนทำให้ตนนั้นเกิดอาการโมโห และยังยักคิ้วเยาะเย้ย ตนพยายามควบคุมอารมณ์ แต่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงขับรถพุ่งชนผู้ตายจนทำให้เกิดเหตุการณ์อันน่าสลดขึ้น
สางแค้นปมชู้สาว! ฆาตกรรมตำรวจคาบ้านพัก กระหน่ำแทงไม่ยั้งก่อนตัดเจ้าโลกทิ้ง
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ได้เกิดคดีฆาตกรรมสยองขวัญกับตำรวจนายหนึ่ง ซึ่งสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ในเวลาต่อมา คือ นายอมรลัก จิตเกาะ อายุ 45 ปี ก่อเหตุฆ่าตัดเจ้าโลก พันตำรวจโท จำรัส ดลเจือ อายุ 57 ปี ในบ้านพักคืนวันที่ 2 ก.พ. 2563
ด้านผู้ต้องหาสารภาพว่าวันเกิดเหตุ ได้จุดไฟเผารถเพื่อล่อผู้ตายออกมาจากบ้าน จากนั้นใช้มีดแทงคอ และกระหน่ำแทงทั่วตัวกว่า 23 แผล และใช้ครกทุบศีรษะจนแน่นิ่ง ก่อนเฉือนเจ้าโลกมาทิ้งข้างรถยนต์ จากนั้นใช้น้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาซ้ำ
ทั้งนี้ สาเหตุที่ลงมือฆ่านั้นเกิดจากความหึงหวง เนื่องจากสารวัตรคนดังกล่าว ไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับภรรยาของตน ก่อนหน้านี้เคยขอร้องให้สารวัตรเลิกยุ่งกับภรรยาถึง 2 ครั้ง แต่ทั้งคู่ก็ยังแอบไปมาหาสู่กัน จึงเกิดอารมณ์โมโห สะสมเป็นความแค้น และตัดสินใจจะฆ่าทั้งสองคนทิ้ง แต่ลูกชายโทรไปบอกภรรยาให้หนีไปเสียก่อน โดยการกระทำของคนร้ายนั้นนับว่ามีความโหดเหี้ยมมาก ด้วยอารมณ์ความแค้น ประกอบกับวันเกิดเหตุคนร้ายได้ดื่มสุราจนเมา จึงกระหน่ำแทงผู้ตายไม่ยั้งและนำไปสู่การเฉือนเจ้าโลกของผู้ตายทิ้ง
รักทำพิษ เสี่ยรับเหมาถมดิน บุกยิง ‘สาวรุ่นลูก’ ดับ ไม่สนแม้ลูกสาววัย 13 คุกเข่าไหว้ขอชีวิตแม่
เป็นคดีที่สุดสะเทือนใจ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 63 พบศพ น.ส.ชญาน์นันท์ ประสพสุข อายุ 38 ปี ชาวจังหวัดสระแก้ว ถูกอาวุธปืนยิงที่ศีรษะ ข้างกันพบร่าง นายโสภณ ถิตานนท์ อายุ 67 ปี เสี่ยรับเหมาถมดินในเขตพื้นที่ชลบุรี ใช้อาวุธปืนยิงเข้าที่ขมับขวา นอนจมกองเลือด และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
โดยทางเพื่อนบ้านเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงทะเลาะกัน ได้ยินเพียงเสียงปืนดังก้องขึ้นมา 1 ครั้ง แล้วได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง ไม่นานก็เห็นลูกสาววัย 13 ปี ของ น.ส.ชญาน์นันท์ วิ่งร้องไห้ออกมาขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ให้ช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯเข้าช่วยเหลือดังกล่าว ทั้งนี้ลูกสาวของ น.ส.ชญาน์นันท์ อยู่ด้วยและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เล่าว่าก่อนเกิดเหตุพยายามคุกเข่ายกมือไหว้ขอชีวิตแม่จากนายโสภณ แล้ว แต่นายโสภณ ไม่สนใจคำอ้อนวอนลั่นไกใส่แม่ของตนก่อนหันกระบอกปืนลั่นไกใส่ขมับตัวเอง ต่อหน้าต่อตา สร้างความสะเทือนใจให้กับเด็กหญิงวัย 13 ปี เป็นอย่างมาก
กว่า 17 ชม. ! เหตุสะทือนขวัญโคราช คนร้ายบุกกราดยิงห้างเทอร์มินอล 21
เป็นอีก 1 คดีสุดสะเทือนขวัญ และสะเทือนใจคนไทยทั่วทั้งประเทศ เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 เวลา 15.00 น. จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ทหารของหน่วยกองพันกระสุนที่ 22 กองทัพภาคที่ 2 จังหวัดนครราชสีมา ก่อเหตุกราดยิงผู้บังคับบัญชาและแม่ยายเสียชีวิต ก่อนเดินทางไปที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ เพื่อปล้นอาวุธปืนและยิงทหารเวร เสียชีวิต ก่อนขับรถฮัมวี่ของทหารไปทางวัดป่าศรัทธารวม ไล่ยิงตำรวจและประชาชนที่สัญจรในเส้นทางนั้น เสียชีวิตรวม 9 ราย ก่อนหลบหนีเข้าไปในห้างเทอร์มินอล 21 โคราช
เมื่อทันทีที่ไปถึงห้าง ยังได้กราดยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมโพสต์ข้อความขณะก่อเหตุอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ต่อมาทางด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ ไปยัง จ.นครราชสีมา พร้อมด้วยชุดหนุมานกองปราบกว่า 20 นายเดินทางมาถึง และเข้าไปในห้าง ทยอยนำประชาชนที่ติดอยู่ข้างออกมาได้อย่างปลอดภัย กระทั่งในเวลา 9.00 น. เสียงปืนดังขึ้นรัวชุดใหญ่โดยเป็นการวิสามัญคนร้าย บริเวณหน้าห้องเย็นใกล้บันไดเลื่อน ทำให้เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตรวม 30 ราย และบาดเจ็บ 58 ราย
สนั่นกลางกรุง! ชายเสพยาคลั่งกราดยิงกลาง ซ.จุฬา 10 อ้างเครียดพิษเศรษฐกิจ
ชายวัย 48 ปีเครียดพิษเศรษฐกิจรุมเร้า เสพยา แล้วยิงปืนระบายอารมณ์กว่า 50 นัด ทำชาวบ้านแตกตื่นวิ่งหลบหนีแทบไม่ทัน แต่โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ด้านหลานผู้ก่อเหตุ ระบุปมเครียดเพราะยอดขายลดฮวบ หนี้สินรุงรังและโรครุมเร้า ขอโทษที่ทำสังคมแตกตื่น ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุไม่มีเจตนาจะทำร้ายผู้อื่น และไม่ได้เลียนแบบเหตุการณ์ที่โคราช
ตรวจสอบพบผู้ก่อเหตุคือนายเอกชัย จารึกศิลป์ อายุ 48 ปี เจ้าของร้านขายอุปกรณ์และเสื้อผ้ากีฬา ใช้อาวุธปืนยิงรัวกว่า 50 นัด ภายในบริเวณซอยจุฬา 10 ตั้งแต่เวลาประมาน 03.00 น. จนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 14 ก.พ. 63 ก่อนตำรวจจะเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ ตรวจสอบพบอาวุธปืนในบ้านอีก 4 กระบอก เมื่อนำตัวไปตรวจที่รพ.ตำรวจ พบว่ามีปัสสาวะสีม่วง ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุได้เสพยาไอซ์มาก่อน
ส่วนเรื่องของพฤติกรรมเลียนแบบ นายเอกชัยระบุว่า ไม่ได้มีเจตนายิงผู้ใด แค่ต้องการระบายอารมณ์และความเครียดเท่านั้น ไม่ได้ต้องการเลียนแบบเหตุกราดยิงที่โคราช พร้อมฝากขอโทษสังคมรวมไปถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้วย
หึงโหด! หนุ่มควงปืนบุกรัวยิงอดีตภรรยา ดับคาคลินิกในห้างย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
แตกตื่นกันทั้งห้าง จากเหตุการณ์ที่มีชายใช้อาวุธปืนบุกยิงพนักงานสาวของภายในดิไอคอนคลินิกเวชกรรม (เสริมความงาม) เสียชีวิต 1 ราย บริเวณชั้น 4 ห้างเซ็นจูรี่มูฟวี่พลาซ่า ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีไป และถูกจับกุมตัวได้ในเวลาต่อมา
เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 63 ผู้เสียชีวิตทราบชื่อ นางสาวปิยานุช ฉัตรไทย อายุ 28 ปี พนักงานต้อนรับของคลินิกเสริมความงามถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 3-4 นัด และลำตัว นอนเสียชีวิตจมกองเลือดบริเวณเคาน์เตอร์ภายในคลินิกดังกล่าว และมีเพื่อนพนักงานได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
ส่วนผู้ก่อเหตุคือนายดณุสรณ์ นุ่มเจริญ อดีตสามีของผู้เสียชีวิต ต่อมาถูกจับกุมตัวไว้ได้ขณะหลบหนี โดยสาเหตุมาจากเรื่องชู้สาว หลังทั้งคู่เพิ่งเซ็นใบหย่ากันไม่นาน แต่ฝ่ายชายยังมีพฤติกรรมหึงหวงฝ่ายหญิงที่มีชายใหม่
วิพากษ์สังคมไทย ครอบครองปืนง่ายเกินไปหรือเปล่า?
เมื่อพิจารณาจากคดีที่สะเทือนขวัญและสร้างความวิตกให้กับผู้คนในสังคมมากๆ อย่างคดีกราดยิงชิงทอง และกราดยิงกลางเมืองโคราช จะเห็นว่าทั้ง 2 คดีนี้ผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุและสังหารผู้คนมากมาย นำมาสู่การตั้งคำถามว่าประเทศไทยของเรานั้น สามารถมีอาวุธปืนในครอบครองง่ายเกินไปหรือไม่ รวมถึงเรื่องของการนำเสนอข่าวที่อาจนำไปสู่การลอกเลียนแบบพฤติกรรมของคนร้าย เพราะหลังจากปิดฉากคดีกราดยิงชิงทองไปในระยะเวลาที่ไม่นานนัก ก็นำมาสู่การก่อเหตุกราดยิงกลางเมืองโคราชอีกครั้ง ตามมาด้วยเหตุกราดยิงกลาง ซ.จุฬา และบุกยิงอดีตภรรยากลางที่ทำงานซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้า เหตุการณ์เหล่านี้ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับคนในสังคมถึงเรื่องความปลอดภัยในการใช้ชีวิต
สุดท้าย เราอยากให้เหตุการณ์เหล่านี้นำไปสู่การตั้งคำถามถึงเรื่องการครอบครองปืนของผู้คนในสังคมไทย ว่าทางรัฐบาลควรจะมีข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ใดๆ ที่มีมาตรการความปลอดภัยที่ถี่ถ้วนมากขึ้น ในการอนุญาตให้บุคคลหนึ่งมีอาวุธปืนในครอบครองได้ เพราะไม่เช่นนั้น ในอนาคตก็คงจะมีการก่อเหตุอาชญากรรมที่มีการใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุอีกนับไม่ถ้วน ส่วนคนธรรมดาอย่างเราๆ ที่ไม่มีอาวุธปืนในครอบครองจะสามารถปกป้องตนเองให้รอดพ้นจากอันตราย หรือความเสี่ยงในการใช้ชีวิตในสังคมแบบนี้ได้หรือไม่ แล้วอะไรคือตัวยืนยันถึงความปลอดภัยในการใช้ชีวิต?
อาชญากรรม
กราดยิงชิงทองลพบุรี
กราดยิงโคราช
ยิงอดีตภรรยาดับ
ฆาตกรฆ่าตัดเจ้าโลก
ฆ่ารัดคอ
พุ่งชนเพื่อนบ้านดับ
เพื่อนบ้านโหด
บุกยิง
ยิงปืนจุฬาซอย10