TEDx เวทีทอล์คชื่อดังระดับโลก เวทีที่จะเชิญตัวจริงผู้รู้จริงในเรื่องนั้นๆ มาบอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆ เพื่อสร้างเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก ประเทศไทยก็เช่นกันมีการจัดงาน TEDx เช่นเดียวกับในต่างประเทศ โดยที่ในปีนี้ TEDxBangkok ได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของ TEDxYouth@Bangkok 2019 ซึ่งปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 2 แล้ว
สำหรับปีนี้ จัดภายใต้คอนเซ็ปต์ Now Playing ที่เปรียบเสมือนการกด Play ให้กับเสียงของเด็กๆ ที่ถูกกด Pause ไม่ให้พูด ให้ได้กลับมามีโอกาสแสดงออกและเสนอความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี ซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่ C Asean ชั้น 10 Cyber World Tower เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยภายในงานมีการทอล์กพิเศษที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้มาพูดคุยถึงประสบการณ์ในการทำงานพิเศษหารายได้เสริมจากการเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านบาร์บีคิวพลาซ่า ซึ่งทั้ง 2 คนได้มาบอกเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์อันมีค่าที่ไม่อาจหาได้จากที่ไหน
เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ลงมือทำ แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเอง
อภิรักษ์ พิลาออน หรือ น้องแครอท หนุ่มน้อยอายุ 20 ปี ที่มีความสามารถพูดภาษาจีนได้ ขึ้นเวทีด้วยความมั่นใจกล่าวทักทายผู้ชมด้านล่างด้วยภาษาจีน พร้อมกับเล่าเรื่องราวประสบการณ์ในการทำงานจริงที่ร้านว่า ยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่เด็กดี ไม่ใช่คนยิ้มเก่งหรือพูดเก่ง บุคคลิกจึงขัดกับการเป็นพนักงานบริการอย่างมาก ดังนั้น ผลการประเมินประสิทธิภาพงานของเขา ในเดือนแรกก็ไม่ผ่านแล้ว ทำให้เขาเสียใจและสูญเสียความมั่นใจอย่างมาก
“พี่ผู้จัดการร้านทั้งเตือนทั้งติการทำงานผม เพราะผมทำงานไม่ดี แล้วยังเป็นคนที่โดนลูกค้าตำหนิบ่อยที่สุดด้วย มันทำให้ผมรู้สึกแย่และเสียใจมาก บอกเลยว่ามาทำงานอาทิตย์แรกทั้งเหนื่อยทั้งท้อ รู้สึกกดดันมากๆ แล้วก็ไม่อยากมาทำงานอีกแล้ว หลายๆ ครั้งก็คิดที่อยากจะเลิกทำไปเลย แล้วก็เริ่มโทษตัวเองว่าเป็นคนไม่เอางานเอาการ เป็นคนไม่เอาไหน”
แต่บางสิ่งเกิดขึ้นกับแครอทในช่วงที่เกือบจะตัดสินใจขอลาออก เมื่อแครอททราบว่าความประพฤติที่ไม่น่ารักและผลงานที่ไม่ดีของเขาก็ทำให้พี่ผู้จัดการเสียใจไม่แพ้กันที่ไม่สามารถอบรมสั่งสอนให้น้องเป็นเด็กดีเป็นคนเก่งได้ นับแต่นั้นแครอทก็เริ่มที่จะเปิดใจและเรียนรู้การเป็นคนใหม่ หัดยิ้ม หัดพูดคุยทักทายลูกค้า และมีหลายครั้งที่ใช้ทักษะด้านภาษาจีนในการพูดคุยกับลูกค้าย่านสีลม จนทำให้ลูกค้าเอ่ยปากชมแล้วยังชักชวนให้เรียนจบแล้วไปทำงานด้วย
จากประสบการณ์ไม่กี่เดือนสั้นๆ สิ่งที่แครอทได้เรียนรู้ และอยากจะแบ่งปันให้คนอื่นด้วยก็คือ การเปิดใจรับฟังและเรียนรู้เรื่องการทำงาน ไม่ควรยึดติดกับตัวเองเป็นสำคัญ พร้อมกับกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง นับแต่นั้นชีวิตในการทำงานของเขาก็มีความสุขมากขึ้น แถมยังได้ฝึกฝนสิ่งที่ตัวเองกำลังเรียนอยู่ด้วย จึงทำให้เห็นมุมมมองใหม่ๆ ของการทำงานพิเศษว่ามันให้อะไรเรามากกว่าที่คิด นอกจากจะได้รับน้ำใจจากพี่และเพื่อนร่วมงานแล้ว ยังได้ฝึกฝนตัวเองในการเป็นคนที่เข้มแข็ง อดทน เรียนรู้ที่จะยิ้มและทำงานอย่างมีความสุข ซึ่งสิ่งนี้นับว่าเป็นประสบการณ์อันมีค่าอย่างมากและหาที่ไหนไม่ได้
ครอบครัวใหม่คือ “บ้าน” ที่ช่วยเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ขึ้น
สุปรียา ทองส้าน หรือ น้องกัน สาวน้อย อายุ 20 ปี ที่พ่อแม่แยกทางกัน ในขณะที่แม่เป็นเพียงกรรมกรก่อสร้างคอยจุนเจือรายได้ครอบครัว ทำให้น้องกันต้องออกมาหางานสมัครงานพาร์ทไทม์หารายได้เสริมเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้แก่แม่
“จากที่เคยเป็นเด็กที่เที่ยวเล่นไปวันๆ ก็ต้องเริ่มออกหางานทำหลายครั้งเขาก็ไม่รับเพราะไม่มีประสบการณ์ในการทำงานอะไรเลย จนในที่สุดก็ได้รับโอกาสจากร้านบาร์บีคิวพลาซ่า สาขาเซ็นทรัลพระราม 9 ให้หนูได้มาทำงาน ที่สำคัญพอได้มาทำงานที่ร้าน มันก็ทำให้หนูได้พบความจริงว่า คำว่า ‘ครอบครัว’ อาจจะไม่ได้หมายถึงพ่อแม่คนที่ให้กำเนิดเรามาก็ได้ พ่อแม่พี่น้องอาจจะหมายถึงคนที่ให้ความรักและความเมตตากับเรา ต้อนรับเราเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งหนูสามารถเรียกแม่ เรียกพี่ ทุกคนที่ร้านบาร์คิวพลาซ่าได้อย่างเต็มหัวใจเลย เพราะทุกคนให้ความอบอุ่นแก่หนูไม่ต่างจากที่คนในครอบครัวมีให้กัน แม่ๆ และพี่ๆ ที่บาร์บีคิวพลาซ่า สอนให้หนูทำงานผ่านรอยยิ้มและความจริงใจ ทุกวันหนูจึงทำงานได้อย่างมีความสุขแถมยังมีรายได้มาช่วยแม่และช่วยส่งตัวเองให้เรียนหนังสืออีกด้วย”
สิ่งนี้เองทำให้ น้องกัน เปลี่ยนมุมมองความคิดเรื่องครอบครัวใหม่ว่า บางครั้งคำว่าครอบครัวอาจจะไม่ได้จำกัดเฉพาะพ่อแม่พี่น้องที่มาจากสายเลือดเดียวกัน แต่อาจจะเกิดได้แม้แต่กับในที่ทำงาน ดังนั้น เธอจึงเป็นเด็กที่ตั้งอกตั้งใจทำงานด้วยความสดใสร่าเริงและทำด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ จนกระทั่งได้รับคำชมจากทั้งลูกค้าและผู้จัดการร้านยกให้เป็นพนักงานตัวอย่างในเรื่องความขยันขันแข็ง รวมทั้งมีลูกค้าหลายคนติดใจชวนไปทำงานด้วยเมื่อเรียนจบแล้ว ซึ่งทำให้เธอภูมิใจในตัวเองและรู้สึกขอบคุณครอบครัวทั้งสองอย่างมากที่คอยให้กำลังใจและให้คำแนะนำสั่งสอนเธอเรื่อยมา
“การทำงานพาร์ทไทม์ให้สิ่งมีค่าที่สำคัญที่สุดในชีวิตแก่หนู นั่นคือการให้ครอบครัวใหม่ ที่มาเติมเต็มหัวใจเด็กบ้านแตกคนนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น” น้องกันสรุปบทเรียนชีวิตของเธอในตอนท้าย
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจากหลากหลายธุรกิจ อาทิ คุณบุ๋ม - บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด มาร่วมแชร์และแบ่งปันประสบการณ์การทำงานพาร์ทไทม์ในวัยเด็กเรื่อง “ลิ้นชักชีวิต” ว่า ในวัยเด็กมักจะชอบค้าขาย ชอบที่จะเหมาของกิฟท์ช้อปมาขายเพื่อนหรือบางทีก็รวบรวมเอาของมือสองมาขาย ซึ่งสิ่งนี้เรียกมันว่า “ลิ้นชักชีวิต” เป็นประสบการณ์เสี้ยวหนึ่งในชีวิตที่ไม่อาจรู้เลยว่าเมื่อไหร่จะดึงส่วนนี้มาใช้ ซึ่งจากการได้ลองเรียนรู้และหาเงินด้วยตัวเองแต่เด็ก ทำให้เห็นค่าของเงินและได้รู้ว่าเงินทองนั้นหายากจริง แต่มากไปกว่านั้นการขายของทำให้ได้เรียนรู้เรื่อง ‘คน’ ด้วย ทำให้เข้าใจเรื่องคนได้มากขึ้น ได้รู้จักว่าลูกค้านั้นมีหลายประเภท ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ได้มาใช้ในการทำงานในปัจจุบันด้วย ทำให้รู้ว่าเราต้องรู้จักลูกค้าก่อนถึงจะสามารถขายของได้ นับเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ได้ดึงมาจากลิ้นชักชีวิตและได้มีโอกาสนำมาใช้ในการทำงานจริง ดังนั้น อยากให้มองว่าการได้ทำงานพาร์ทไทม์หรือหารายได้เล็กๆ น้อยๆ มันช่วยสั่งสมประสบการณ์บางอย่างให้เราเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ที่เก่งขึ้นในวันข้างหน้าได้
คุณบุ๋ม - บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ (คนแรกจากซ้าย) คุณกอล์ฟ - วรุตม์ เหลืองวัฒนากิจ (คนที่สองจากซ้าย) คุณปิ๊ก - ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์ (คนที่สามจากซ้าย)
คุณกอล์ฟ - วรุตม์ เหลืองวัฒนากิจ ผู้ก่อตั้ง KIDative ที่มาแบ่งเรื่องราว ประสบการณ์การหารายได้พิเศษว่า เริ่มต้นมาจากความคิดเด็กๆ ที่อยากมีเงินไปซื้อกล่องดินสอเจ๋งๆ บ้าง ก็เกิดไอเดียที่จะเอาเครื่องเขียนมาขายเพื่อน ให้เพื่อนที่ขี้เกียจเดินไปซื้อของในร้านมาซื้อกับเราแทน ความคิดง่ายๆ ของเด็กวันนั้นแต่แท้จริงแล้วมาค้นพบที่หลังว่ามันคือการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดนั่นเอง ดังนั้น เรื่องของการทำงานพิเศษไม่อยากมองให้เป็นเรื่องของเด็กๆ เพราะวันหนึ่งแล้วจากสิ่งเล็กๆ ตรงนี้สักวันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็นประสบการณ์สำคัญที่เรานำไปใช้ต่อยอดได้ เป็นส่วนหนึ่งของการสั่งสมประสบการณ์ที่เราก็อาจจะคาดไม่ถึงในอนาคตก็ได้
ตบท้ายด้วย คุณปิ๊ก - ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์ นักออกแบบโมเดลธุรกิจ เจ้าของเพจ Trick of the Trade Certified Designing Your Life Coach และเจ้าของธุรกิจรุ่นที่ 2 แฟชั่นเครื่องหนัง Viera by Regazze ที่มาบอกเล่าประสบการณ์การทำงานพาร์ทไทม์ว่า ทำหลายอย่างมากเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่สิ่งที่คิดว่าได้ประโยชน์อย่างมากก็คือการที่เราได้นำมาใช้จริงเมื่อเราไปสมัครงาน หรือตอนสัมภาษณ์งาน เพราะทำให้เรารู้ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้รับรู้ข้อมูลฐานล่างที่สำคัญของบริษัท ซึ่งจุดนี้เองที่อาจจะเป็นหมัดฮุกเด็ดที่คู่แข่งในการสมัครงานคนอื่นไม่มี ดังนั้น การทำงานพาร์ทไทม์คือกำไรชีวิตที่ทำให้เรามีข้อได้เปรียบมากกว่าคนอื่น เป็นประสบการณ์นอกห้องเรียนอันมีค่าที่หาที่ไหนไม่ได้
คลิปร่วมแชร์ประสบการณ์การทำงานของเด็กฝึกงานในร้านอาหาร
https://www.facebook.com/dkungjunrai/videos/pcb.2645961128856071/2645957095523141/?type=3&theater
นับเป็นเรื่องราวน่าประทับใจทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ที่ได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการทำงานพาร์ทไทม์ให้ฟัง ซึ่งหลายสิ่งไม่น่าเชื่อว่าจากเมล็ดพันธุ์เล็กๆ แต่สุดท้ายก็สามารถเติบโตเป็นเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง ฉะนั้น จากเรื่องราวในวันนี้สะท้อนว่างานพาร์ทไทม์ไม่ได้เป็นเพียงแค่สอนประสบการณ์นอกห้องเรียนให้กับเด็กและเยาวชนเท่านั้น ทว่า อีกด้านหนึ่งนั้นก็กำลังสอนบทเรียนสำคัญให้กับผู้ใหญ่เช่นเดียวกัน.