จากกรณีเมื่อวานนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แถลงพบหลักฐานชี้ชัดว่า บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ นักมนุษยชน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิทำกินของชาวกะเหรี่ยง ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่หายตัวไป 5 ปี ได้พบชิ้นส่วนกระดูก จำนวน 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร จำนวน 1 ถัง เหล็กเส้น จำนวน 2 เส้น ถ่านไม้ จำนวน 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน ซึ่งคาดว่าบิลลี่ จะถูกฆาตกรรมยัดถัง ก่อนเผาอำพรางคดี แต่ยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้
ในวันนี้ (4 ก.ย.) เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเล ได้จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยตั้งแต่เวลา 06.00 น. เริ่มพิธีกรรมส่งพลังให้ดวงวิญญาณบิลลี่ จากนั้นได้ร่วมขับร้องบทเพลงที่ถ่ายทอดถึงรู้สึกที่ต้องสูญเสียบิลลี่
นายสมชาติ รักษ์สองพลู ตัวแทนคณะกรรมการอำนวยการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงและชาวเล แถลงการณ์ 4 ข้อเรียกร้อง
1. ขอบคุณและเป็นกำลังใจกับเจ้าหน้าที่ คณะกรรมการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่ทุ่มเททำงานด้วยความมานะอุตสาหะจนสามารถพิสูจน์ยืนยันวัตถุพยานหลักฐานสำคัญประกอบการสอบสวนคดีอุ้มหาย และสามารถระบุได้ว่า “นายพอละจี รักจงเจริญ” หรือ “บิลลี่” เสียชีวิตแล้ว อันจะไปสู่การดำเนินคดี และการคืนความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัว ชุมชน รวมถึงเครือข่ายกะเหรี่ยงที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งนี้
2. เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดดำเนินการสืบสวน สอบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดรวมถึงผู้ที่มีส่วนทั้งหมดมาดำเนินคดีโดยเร่งด่วน รวมถึงให้มีการดำเนินคดีผู้กระทำผิดและผู้เกี่ยวข้องในกรณีการวางเพลิงเผาทรัพย์ชุมชนบ้านใจแผ่นดิน-บางกลอยบน จำนวนมากกว่า 100 หลังคาเรือน รวมทั้งบ้านปู่คออี้ ซึ่งไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการใดๆ เลย
3. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 มิถุนายน 2553 และ 3 สิงหาคม 2553 ในการคุ้มครองวิถีชีวิตชาวเลและกะเหรี่ยง อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดกรณีสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมบ้านใจแผ่นดิน-บางกลอยบน ซึ่งนายพอละจี รักจงเจริญเป็นผู้ประสานงานการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจนได้รับชัยชนะในคดีศาลปกครองสูงสุด
4. เรียกร้องให้ประเทศไทยบัญญัติกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และกฎหมายว่าด้วยการกระทำทรมานและการบังคับให้หายสาบสูญ ตามหลักสากลของสหประชาชาติว่าด้วย อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับซึ่งรัฐบาลไทยได้ลงนามแล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 แต่ยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีจึงไม่มีสภาพบังคับอย่างใด
ขณะที่ตัวแทนองค์กรภาคีจำนวน 99 องค์กร และบุคคลจำนวน 169 รายแถลงการณ์ 4 ข้อ เรียกร้องต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1. ให้เร่งรัดดำเนินการเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่ว่าผู้กระทำความผิดจะเป็นใครก็ตาม
2. ให้ดำเนินการชดเชยเยียวยาความเสียหายให้แก่ครอบครัวของบิลลี่อย่างเป็นธรรมและเหมาะสม แม้ยังไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด แต่ความเสียต่อครอบครัวได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว
3. ให้รัฐบาลไทยพิจารณาเร่งรัดเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ เพราะแม้ว่ารัฐบาลไทยจะได้ลงนาม แล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 แต่เมื่อยังไม่ได้เข้าเป็นภาคี จึงไม่มีสภาพบังคับ
4. ให้รัฐบาลไทยมีมาตรการที่เป็นไปตามหลักการสากลงของสหประชาชาติว่าด้วย การปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
5. ให้รัฐบาลไทยเร่งรัดออกกฎหมายใหม่หรือแก้ไขกฎหมาย เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในทางกฎหมายโดยมิชอบ ก่ออาชญากรรมต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพและทรัพย์สินประชาชน เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่ประชาชนทุกคนว่าจะไม่ถูกกระทำโดยผู้ใช้อำนาจรัฐ
ทั้งนี้ในช่วงเวลา 13.30 น. กลุ่มเครือข่ายจะเดินทางไปยื่นหนังสือ ขอเรียกร้องที่ดีเอสไอ