ครูประถม ปัด ไม่จริง ให้เด็กนักเรียนกินฉี่ ยัน เป็นแค่น้ำสมุนไพร สั่งสอบข้อเท็จจริง
logo ข่าวอัพเดท

ครูประถม ปัด ไม่จริง ให้เด็กนักเรียนกินฉี่ ยัน เป็นแค่น้ำสมุนไพร สั่งสอบข้อเท็จจริง

ข่าวอัพเดท : ครูประถม ปัด ไม่จริง ให้เด็กนักเรียนกินฉี่ ยัน เป็นแค่น้ำสมุนไพร สั่งสอบข้อเท็จจริง ครูกินฉี่,กินฉี่,กินปัสสาวะ,ให้เด็กกินฉี่

4,859 ครั้ง
|
26 ส.ค. 2562
หลังจากโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ข้อความ กรณีกินปัสสาวะรักษาโรค จากครูสอนเด็กประถม ซึ่งมีข้อความว่า “เราเป็นครูสอนเด็กประถมต้นค่ะ เราจะทำน้ำกลั่นปัสสาวะกลั่นสมุนไพร นำไปไว้ประจำที่โรงเรียน เวลาเด็กไม่สบายเขาจะมาขอยากับเรา เราไม่ใช่ฝ่ายพยาบาล ไม่มียา เราก็เลยเอาน้ำปัสสาวะกลั่นให้เด็กกินผสมน้ำครึ่งส่วน เด็กส่วนมากจะปวดท้องจนตัวงอ เพราะมักชอบกินน้ำอัดลม ขนมหวาน ไม่ทานข้าวเช้า หรือบางคนเป็นไข้ตัวร้อนมาก ผลปรากฎว่าหลังจากกินยาวิเศษของครูแล้วจะหายภายใน 30 นาที เราจะบอกเด็กว่าเป็นน้ำมนต์มาจากวัด ไม่เชื่อต้องลองเองค่ะ” 
 
ข่าวอัพเดท : ครูประถม ปัด ไม่จริง ให้เด็กนักเรีย
 
 
ซึ่งหลังจากที่ข้อความดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ได้มีผู้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องดังกล่าวเป็นจำนวนมาก กับการนำปัสสาวะกลั่นผสมน้ำไปให้เด็กกิน
 
ล่าสุด วันที่ 26 ส.ค. 62 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.พล จ.ขอนแก่น ซึ่งเมื่อไปถึงได้พบกับผู้อำนวยการโรงเรียน, เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย, เจ้าหน้าที่ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียน และนักจิตวิทยาจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 โดยกำลังสอบถามรายละเอียดจากนักเรียนชั้น ป.3 ประมาณ 15 คน พร้อมผู้ปกครองอยู่ในห้องประชุม พร้อมทั้งครูเอ (นามสมมุติ) ครูสอนชั้น ป.3 ที่บอกว่า ทำน้ำปัสสาวะกลั่นสมุนไพรให้นักเรียนดื่ม ก็นั่งรวมอยู่ในห้องด้วย โดยได้นำสมุนไพร 4 ชนิดคือ ใบเตย, ใบเบญจรงค์ ใบผักไชยา และใบย่านาง มาให้คณะจาก สพป.ขก.เขต 3 ได้ดูด้วย
 
โดยครูเอ (นามสมมุติ) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ข้อความที่แชร์ในโซเชียลนั้น เป็นการพิมพ์คุยกันในกลุ่มปิด ไม่คิดว่าจะหลุดออกมา และไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ซึ่งคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากคำยืนยันว่า พิมพ์ข้อความไปเพราะขาดความยั้งคิด 
 
ขอยืนยันว่า สิ่งที่ให้เด็กดื่มนั้นไม่มีปัสสาวะผสมตามที่พิมพ์ในโซเชียลแน่นอน แต่เป็นน้ำสมุนไพรที่ให้ฤทธิ์เย็น โดยการทำสมุนไพรกลั่นนั้น ทำเป็นเพราะเข้าอบรมและเรียนรู้จากชมรมแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย ที่มีหมอเขียวเป็นผู้ให้ความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรค ซึ่งก็ทำดื่มเองมาตลอด โดยการนำสมุนไพร 4 ชนิด มารวมกับสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น นำมากลั่นรวมกัน จนเป็นหยดน้ำใสๆ ใช้เวลากลั่นสมุนไพรประมาณ 1 ชม. ก็จะได้สมุนไพรกลั่นนำมาผสมน้ำดื่ม โดยใช้สมุนไพนกลั่น 1 หยดต่อน้ำ 1 แก้ว
 
การทำสมุนไพรกลั่น ทำด้วยวิธีธรรมชาติ ตามคำสอนของหมอเขียว สมุนไพรก็หาได้ในชุมชนหมู่บ้าน จะไม่พึ่งพาวิทยาศาสตร์ เพราะสมุนไพรต้องปลอดสารเคมีทุกชนิด เมื่อกลั่นได้ที่ก็เก็บไว้ บางวันนำติดตัวมาที่โรงเรียน นักเรียนไม่สบายก็ให้ดื่มกิน โดยไม่มีปัสสาวะผสมแต่อย่างใด
 
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เข้าพบนายสนอง สุดสะอาด ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 เพื่อสอบถามรายละเอียดภายหลังรับฟังการชี้แจงด้วยวาจาจากครูรายดังกล่าวว่า 
 
หลังทราบเรื่องจากโซเชียลฯ ก็ได้เรียกผู้อำนวยการโรงเรียนพร้อมครูคนดังกล่าวมาชี้แจง ซึ่งครูดังกล่าวบอกว่า เรียนรู้สมุนไพรและการรักษาโรคจากชมรมแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นความชอบส่วนตัว เมื่อเรียนรู้ก็ทำขึ้นมาใช้เองและใช้กับนักเรียน โดยยืนยันว่าไม่มีการผสมของปัสสาวะ พร้อมสั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และสั่งห้ามนำน้ำสมุนไพรดังกล่าวให้เด็กดื่มอีก
 
ครูมีหน้าที่สอน อบรม ให้ความรู้กับนักเรียน แต่การที่ครูไปเรียนรู้เรื่องต่างๆ มา แล้วนำมาสอนนักเรียน หรือนำมาใช้กับนักเรียนนั้น ก็ต้องพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ 
 
เพราะการเรียนการสอนมีระเบียบปฏิบัติ มีหลักวิชาการ ไม่ใช่จะสอนหรือให้อะไรก็ได้ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย ผิดถูกเรายังไม่พูดถึง ที่พูดคือความเหมาะสม เพราะสมุนไพรนั้นมีการใช้มาแต่โบราณ แต่การที่ครูรายนี้ทำสมุนไพรกลั่น มาให้นักเรียนดื่มเพื่อรักษาโรคให้นั้น มันเควรหรือไม่ควร เพราะครูไม่ใช่หมอ หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อนำมาพิจารณาพฤติกรรมของครูรายนี้ตามขั้นตอนต่อไป