ตำรวจยังรอผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันก่อนไปขอศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิดป่วนกรุงฯ หลายจุด ซึ่งขณะนี้ได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสำนวนเอาผิด 2 ผู้ต้องสงสัยวางระเบิด ใต้ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนครบกำหนด 30 โดยที่ผลการสืบสวนพบข้อมูลบุคคลเชื่อมโยงแล้วกว่า 20 ราย ทั้งระดับปฏิบัติการ ช่วยเหลือและ สั่งการ รอการยืนยันจากผลเทียบเคียงข้อมูลชายแดนใต้
วันที่ 6 ส.ค. ความคืบหน้าคดีวางระเบิดป่วนกรุง หลังจากที่วานนี้ที่ประชุมฝ่ายสืบสวนสอบสวน มีการนำข้อมูลกลุ่มผู้ก่อเหตุมาพิจารณาออกหมายจับมือวางระเบิดตามจุดต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ และหน้ากองบัญชาการกองทัพไทย โดยคาดว่าจะสามารถออกหมายจับชายต้องสงสัยที่แต่งกายอำพรางใบหน้า 2 คนก่อน
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า เรื่องการออกหมายจับดังกล่าว ยังไม่สามารถออกได้ทันที ต้องรอผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันตัวตนให้ชัดเจนก่อน จากนั้นจะนำข้อมูลไปเปรียบเทียบกับบุคคล ที่มีรายชื่ออยู่ในข่ายเฝ้าระวังกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ เนื่องจากแนวทางการสืบสวนพบว่า ผู้ก่อเหตุไม่ใช่คนรุ่นใหม่ทั้งหมด แต่มีบางส่วนเป็นผู้ก่อความไม่สงบในบัญชีเฝ้าระวังรวมอยู่ด้วย เมื่อได้หลักฐานต่าง ๆ ครบแล้ว จึงจะไปขอศาลอนุมัติหมายจับ เชื่อว่าอีก 2-3 วันนี้เรื่องต่าง ๆ จะมีความชัดเจนขึ้น
ส่วนแนวทางการสืบสวนในระยะนี้ จะเน้นไปที่การรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ของผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 ที่ถูกจับกุมได้ เช่น เสื้อผ้าชุดที่สวมใส่และใช้เปลี่ยนเพื่ออำพรางตัวเอง และพยานแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง มาประกอบสำนวนการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ตามอำนาจในการควบคุมตัว ซึ่งแนวทางการดำเนินคดีสามารถชี้แจงได้ว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คน เริ่มต้นเข้ามาก่อเหตุอย่างไร
และเพราะเหตุใดตำรวจจึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้ก่อเหตุ รวมถึงบุคคลต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ให้การช่วยเหลือทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนความคืบหน้าการขยายผลผู้ร่วมก่อเหตุในขบวนการนี้ ตำรวจพบข้อมูลทั้งผู้ต้องหาที่ลงมือก่อเหตุ ผู้ให้การสนับสนุน ไปจนถึงกลุ่มนายทุนในต่างประเทศ มีคนที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 20 คน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะต้องนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงที่ทำงานในพื้นที่ภาคใต้ด้วยว่า มีบุคคลใดถูกจับกุมได้ หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ หรือไม่
เนื่องจากเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 2 พื้นที่ มีความเชื่อมโยงกัน โดยข้อมูลดังกล่าว ยังสอดคล้องกับข้อมูลการเดินทางเข้าและออกประเทศผ่านด่านในจังหวัดนราธิวาส ของผู้ต้องหาทั้ง 2 ก่อนหน้าที่จะไปลงมือก่อเหตุด้วย
สำหรับเป้าหมายในการลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ ฝ่ายสืบสวนยังไม่ตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่งทิ้ง อีกทั้งยังเชื่อว่า เป็นไปได้ที่แรงจูงใจในการลงมือจะเกิดจากความแค้นและอุดมการณ์ เพราะหากต้องการแก้แค้นแทนผู้เสียชีวิตเพียงอย่างเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียด เพื่อสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ และใช้งบประมาณลงทุน
ซึ่งวัตถุประสงค์หลักเชื่อว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เห็นว่า รัฐบาลยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบได้ ส่วนเรื่องการแจ้งเบาะแสวัตถุต้องสงสัยนับตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม
หลังเที่ยงเป็นต้นมา พันตำรวจเอกกำธร อุ่ยเจริญ รองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ ตำรวจ 191 ให้ข้อมูลว่ามีผู้แจ้งเบาะแสเกินวันละ 10 ราย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนจะเกิดความตื่นตัว โดยเฉพาะในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังเกิดเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรือ EOD ก็พร้อมเข้าตรวจสอบเหตุที่มีการรับแจ้งในทุกจุดตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว
และผลจากการเข้าตรวจทุกจุด ตามรายงานยังไม่พบว่า มีจุดใดพบวัตถุอันตรายหรือระเบิด จะมีใกล้เคียงก็เป็นเพียงวัตถุเลียนแบบ หรือวัตถุใกล้เคียงวัตถุอันตราย ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นของกลุ่มวัยรุ่นที่นำไปใช้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท แต่ไม่ถึงขั้นนำไปสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมีรายงานจากคณะทำงานว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมจากพื้นที่ภาคใต้ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างสอบขยายผล แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันจากนายตำรวจนะดับสูง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เตรียมออกหมายจับ 2 ผู้ต้องหาบึ้มศูนย์ราชการ เชื่อเป็นกลุ่มเดิมจากภาคใต้ แต่เลือกใช้คนหน้าใหม่ก่อเหตุ