คืบหน้ากรณีโลกออนไลน์แชร์ภาพตำรวจสายตรวจโคราชไม่สวมหมวกกันน็อกขณะปฏิบัติงาน ล่าสุดผู้โพสต์ซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 17 ได้ออกมาขอโทษ รับเกิดจากความคึกคะนอง
จากกรณีผู้ใช้ facebook รายหนึ่งได้โพสต์ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครราขสีมา ไม่สวมหมวกนิรภัย ขณะอยู่บนรถจักรยานยนต์สายตรวจ เหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริเวณแยกไอที เขตเทศบาลนครนครราชสีมา และโพสต์ข้อความว่า แบบนี้ผิดมั๊ยครับ ลงในกลุ่ม facebook เช็คด่านตำรวจโคราชวีไอพี จนมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมา ดาบตำรวจวันชัย มงคลชาติ ผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สภ. เมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในภาพได้ชี้แจงว่า ขณะเกิดเหตุได้ขับขี่รถจักรยานยนต์สายตรวจไปติดสัญญาณไฟจราจร และได้ถอดหมวกสายตรวจออกเพื่อปาดเหงื่อ เนื่องจากขณะนั้นอากาศร้อนมาก ก่อนที่ตนจะสวมหมวกกลับคืน และขับรถออกไปตามปกติ ซึ่งคาดว่าผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังมาได้ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพขณะที่ตนถอดหมวกออกเพื่อเช็ดเหงื่อ และนำภาพไปโพสต์ต่อว่าในโลกออนไลน์ ซึ่งทางตำรวจได้เตรียมดำเนินคดีตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กับผู้ที่โพสต์ภาพนั้น
ล่าสุดวันนี้ (7 มิถุนายน 2562) นายเอ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ผู้ที่เป็นคนโพสต์ภาพดังกล่าวได้เดินทางเข้ากราบขอโทษดาบตำรวจวันชัยแล้ว โดยทางดาบตำรวจวันชัยได้ยกโทษให้ และไม่ติดใจเอาความ พร้อมกับว่ากล่าวตักเตือนนายเอว่า ต่อจากนี้ไปจะโพสต์รูปภาพหรือข้อความอะไรต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วย เพราะสิ่งที่โพสต์ออกไปอาจจะสร้างความเดือดร้อน และส่งผลกระทบกับบุคคลอื่น
ขณะที่ นายเอ เปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุตนขับขี่รถจักรยานยนต์ไปติดสัญญาณไฟจราจร และเห็นที่ตำรวจที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรที่อยู่ด้านหน้าไม่สวมใส่หมวกกันน็อก ตนจึงมองว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทำไม่ถึงได้ผิดกฎหมาย ตนจึงได้ถ่ายรูป และขับขี่รถจักรยานยนต์ออกไปด้านหน้า จากนั้นตนได้โพสต์ภาพลงกลุ่มใน facebook จนมีการแชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนไม่ได้สังเกตให้ดีว่า พี่ตำรวจได้ใส่หมวกกันน็อกกลับคืน เพราะตนได้ขับรถจักรยานยนต์ล่วงหน้าออกไปก่อน ซึ่งตนได้สำนึกผิด และขอโทษกับเหตุการณ์ที่ตนได้กระทำไปจากความคึกคะนองจนเป็นเหตุบานปลาย และตนสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ตนอยากฝากไปยังผู้ที่ใช้สื่อออนไลน์หากจะโพสต์ หรือ คอมเม้นท์อะไร โปรดใช้วิจารณญาณให้ดี เพื่อจะได้ไม่เกิดผลกระทบกับใครอีก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
+ อ่านเพิ่มเติม