ภาพจากเฟซบุ๊ก พริษฐ์ วัชรสินธุ - ไอติม - Parit Wacharasindhu
หลังจากมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตธ์ เพื่อขอมติร่วมไม่ร่วมรัฐบาล โดยที่ประชุม ได้มีการลงคะแนนลับ ผลคะแนนปรากฎกว่า มีมติร่วมรัฐบาลพลังประชารัฐ 61 เสียง ไม่ร่วม 16 เสียง งดออกเสียง 2 บัตรเสีย 1 โดยนายจุรินทร์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีแถลงร่วมขั้วพลังประชารัฐ ยกเหตุผล "การตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็วเป็นการหยุดอำนาจ ปิดสวิตช์ คสช.เพราะ คสช.จะหมดวาระหลังมีรัฐบาลใหม่"
ล่าสุด วันที่ 5 มิ.ย. 62 ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความรับผิดชอบต่อจุดยืนทางการเมือง หลังพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ โดยระบุว่า
ณ วันนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้ว ว่าพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกรัฐมนตรี
ผมเชื่อว่ามีทั้งคนที่เสียใจและดีใจกับผลลัพธ์นี้ เพราะการตัดสินใจของพรรค ส่งผลกระทบต่อทิศทางของประเทศ
ในฐานะอดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ผมขอแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่ผมได้พูดไว้กับประชาชนตลอดชีวิตทางการเมืองของผมที่ผ่านมา
สำหรับใครก็ตามใน 3.9 ล้านเสียง ที่เลือกเราเพราะหวังว่าเราจะรักษาคำพูดของหัวหน้าพรรคในช่วงเลือกตั้ง สำหรับใครก็ตามใน 3.9 ล้านเสียง ที่เลือกเราเพราะหวังว่าเราจะเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการหยุดการสืบทอดอำนาจ สำหรับใครก็ตามใน 3.9 ล้านเสียง ที่เลือกเราเพราะหวังว่าเราจะต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ
สำหรับคุณลุงในชุมชนลาดพร้าว 101, คุณอาในหมู่บ้านสวนริมคลอง และอีกหลายๆคนในเขตบางกะปิ-วังทองหลาง ที่บอกผมว่า จะตัดสินใจเลือกผมและพรรค ถ้าผมสัญญาว่าเราจะเอาจริงตามที่ประกาศไว้ว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์
ผมไม่มีคำอื่นที่จะบอกพวกท่านได้นอกจากคำว่า “ขอโทษ” ผม “ขอโทษ” ที่สิ่งที่ท่านได้ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านเลือกในฐานะสมาชิกพรรคคนหนึ่ง ผมพยายามอย่างเต็มที่ในการนำเสนอทางเลือกให้กับพรรค ที่ผมเชื่อว่าจะทำให้เราได้รักษาคำพูดที่เราให้ไว้กับประชาชน รักษาอุดมการณ์ดั้งเดิมของพรรคซึ่งยังคงเหลือร่องรอยอยู่ในชื่อของพรรค และ สำคัญที่สุด รักษาผลประโยชน์ของประชาชน ด้วยการนำพาประเทศเดินไปข้างหน้าบนถนนสายประชาธิปไตย ที่มองเห็นคุณค่าที่เท่าเทียมกันของมนุษย์ ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบถ่วงดุลและการบริหารประเทศที่โปร่งใส และ มีโอกาสสูงสุดในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ให้ดีกว่าที่ผ่านมา
ผมพูดมาเสมอว่าเราต้องพยายามอย่าผูกขาดคำว่า “ประชาธิปไตย” เพราะทุกคะแนนเสียง ไม่ว่าจะลงให้พรรคไหน ล้วนมีความสำคัญเท่ากันหมดภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
ถนนสายประชาธิปไตยควรมีหลายสายให้ประชาชนได้เลือก ที่อาจแตกต่างกันด้วยนโยบาย ด้วยวิธีการทำงาน หรือด้วยบุคลากร
การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่า เราต้องเห็นด้วยกับถนนสายประชาธิปไตยทุกสาย แต่สำหรับผม การยึดมั่นในระบอบ
ประชาธิปไตยคือการที่ถนนทุกสาย ไม่ว่าจะต่างกันแค่ไหน ต้องพร้อมแข่งขันภายใต้กรอบกติกาเดียวกันที่เป็นกลางและเป็นธรรม
ในฐานะนักประชาธิปไตย ผมไม่สามารถเห็นด้วยได้กับการสนับสนุนผู้นำหรือพรรคการเมืองที่ (ถ้ามองโลกในแง่ดีที่สุด) ได้รับอานิสงค์โดยบังเอิญ หรือ (ถ้ามองโลกในแง่ร้ายที่สุด) มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเจตนา กับ กติกาและพฤติกรรมที่สังคมมองว่าไม่เป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็น การจัดประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เปิดให้มีการหาเสียงทั้งสองด้านได้อย่างเสรี, การเขียนกติกาที่ไม่ป้องกันให้กรรมการผันตัวมาเป็นผู้เล่น, การไม่ปฏิเสธว่าพร้อมจะใช้อำนาจของวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมาขัดความต้องการของประชาชน, การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่โปร่งใสและดูเหมือนจะเอื้อเฟื้อพวกพ้อง หรือ การตีความสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อหลังเลือกตั้งเสร็จที่พลิกผลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ
ผมพูดมาเสมอว่า ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ผมอยากเห็นพรรคมีความชัดเจนและเดินไปข้างหน้าอย่างมีเอกภาพพร้อมกันกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกคน
แต่ในวันที่อุดมการณ์ของผมและอุดมการณ์ของพรรคแตกต่างกัน เพื่อรักษาหลักการว่าพรรคการเมืองควรเป็นพื้นที่ที่รวบรวมคนที่มีอุดมการณ์ตรงกัน เพื่อลดความเสียหายที่คำพูดในอนาคตของผมอาจจะทำให้สังคมมองว่าพรรคไม่ชัดเจน และเพื่อให้พรรคถูกขับเคลื่อนโดยบุคลากรเก่งๆหลายคนที่พร้อมเป็นตัวแทนของชุดความคิดพรรคในวันนี้ ผมขอเคารพการตัดสินใจของพรรค ด้วยการยุติทุกบทบาททางการเมืองในนามพรรค และลาออกจากสมาชิกพรรค
ผมขอขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้โอกาสผมมาโดยตลอด ตั้งแต่วันที่พรรคเป็นครูให้ผมในฐานะเด็กฝึกงานที่ไม่มีอะไรมากกว่าแค่ความสนใจในงานการเมือง จนมาถึงวันที่พรรคให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในฐานะผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค พรรคมีหลายอย่างที่ผมยังนับถือ ไม่ว่าจะเป็นการพร้อมรับฟังความเห็นที่หลากหลาย หรือ ความสามารถของหลายๆคนในพรรค ในเมื่อพรรคตัดสินใจอย่างนี้แล้ว ผมได้แต่เพียงหวังว่า ส.ส. ของพรรค จะสามารถผลักดันนโยบายของพรรคให้เป็นจริงได้ตามที่ท่านคาดหวังไว้ ทุกมิตรภาพและความสันพันธ์ที่ดีที่ผมได้รับจากแทบทุกคนในพรรค ผมจะไม่มีวันลืม
การตัดสินใจออกจากพรรค เป็นการตัดสินใจที่ผมใช้เวลาไตร่ตรองมานาน และเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผม ผมเดินออกจากพรรค ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าความคิดใครถูกหรือผิด แต่เป็นเพราะเราคิดต่างกัน ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติและประชาชน
อนาคตผมจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญในวันนี้ แต่ผมยังขอยืนยันว่าความมุ่งมั่นที่อยากจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นและซื่อตรงต่อความต้องการของประชาชน เป็นความตั้งใจที่จะไม่มีวันจางหาย