จากกรณีคนร้าย 3 คน ก่อเหตุปล้นร้านรับจำหน่ายของหลุดจำนำ ย่านเพชรเกษม เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ล่าสุด วันที่ 8 พ.ค. 62 ตำรวจนครบาลเพชรเกษม คุมตัวนายวุฒิชัย ล้านเหรียญทอง หรือ เจษ อายุ 32 ปี หนึ่งในสาม ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุร่วมปล้นร้านรับจำหน่ายของหลุดจำนำ ย่านเพชรเกษม มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ หลังจับกุมได้ ที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อในอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
โดยผู้ต้องหารายนี้ ถูกจับกุมได้เป็นรายที่ 2 หลังจับกุมนายนพอนันต์ ภูษิตรุ่งโรจน์ ก่อนส่งฝากขังไปก่อนหน้านี้ โดยผู้ต้องหารายนี้ เล่าว่า ขณะเกิดเหตุได้เข้ามาในร้าน ก่อนนำปืนวางบนตู้โชว์ และใช้กระเป๋าวางทับไว้ ก่อนบอกว่า มีอะไรส่งมาให้หมด
จากนั้นก็เดินไปด้านหลังตู้โชว์พนักงานและเจ้าของร้านหมอบลง โดยใช้อาวุธปืนตีเข้าศีรษะข้างด้านขวา ของเจ้าของร้าน และหยิบทรัพย์สินภายในตู้ที่ 2 ใส่กระเป๋า ก่อนหลบหนีขึ้นรถจักรยานต์ที่จอดไว้ห่างจากร้านกว่า100 เมตร และไปแบ่งทรัพย์สินที่ซอยเพชรเกษม 83 และแยกย้ายกันหลบหนี ซึ่งหลังนำตัวนายวุฒิชัยมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตำรวจได้คุมตัวขออำนาจศาลอาญาธนบุรีฝากขังผัดแรกทันที
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากข้อมูลและพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ทราบว่านายนพอนันต์เป็นคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุ ได้หลบหนีไปที่บ้านญาติอำเภอเมืองจังหวัดชัยภูมิ จึงสืบสวนและสามารถจับกุมได้พร้อมของกลางบางส่วนและขยายผลยึดทรัพย์สินเชื่อรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุโดยนายอนันต์รับสารภาพว่าได้ร่วมกับนายวุฒิชัย และนายต้น ไม่ทราบชื่อ-นามสกุล ก่อเหตุดังกล่าว จนกระทั่งล่าสุดสามารถจับกุมนายวุฒิชัยพร้อมของกลางได้ที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อย่านอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
ด้าน พล.ต.ท. สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า เบื้องต้นนายวุฒิชัยให้การรับสารภาพว่านายนพอนันต์ชักชวนให้มาร่วมก่อเหตุ ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ต้องหาในการให้การ แต่ตำรวจต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดก่อน สาเหตุที่ทำไปเพราะต้องการเงินไปใช้จ่าย
ทั้งนี้ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 1 ราย คือนายต้น ที่ยังหลบหนีอยู่บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี คาดว่าจะได้ตัวในวันนี้ เพราะตำรวจอยู่ระหว่างลงพื้นที่ติดตามตัวมาดำเนินคดีอย่างใกล้ชิด
ด้านนางสาวจเรนี สุดแสง พนักงานในร้านเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุนายนพอนันต์เคยเข้าซื้อสมาร์ททีวีแต่ใช้ไม่เป็น จึงให้พนักงานในร้านสอนอยู่เป็นเวลานาน จึงทำให้จดจำเสียงและกลิ่นน้ำหอมได้ นอกจากนี้ยังเป็นลูกค้าที่เคยนำแท็บเล็ตมาขายฝากกับทางร้าน
ต่อมาวันที่ 25 เม.ย. ทำทีเข้ามาอ้างว่าใบฝากขายหาย และให้พนักงานค้นหาเอกสารให้ กระทั่งวันเกิดเหตุ นายนพอนันต์สวมหมวกกันน็อคเข้ามา โดยมีจุดสังเกตุที่ทำให้จดจำได้คือ แววตา น้ำเสียง และกลิ่นน้ำหอม ทำให้รูว่าคนร้ายคือนายนพอนันต์
ด้านนายศิริชัย อาศัยพาณิชย์ เจ้าของร้าน ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวนที่ติดจามจับกุมคาร้ายมาดำเนินคดีได้ โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน และสามารถนำทรัพย์ของกลางกลับมาคืนได้ประมาณร้อยละ 80ของของที่ถูกปล้นไป
เบื้องต้นแจ้งข้อหา ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธ, ปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นเพื่อไม่ให้เห็นจดจำได้ในการกระทำความผิด, มีอาวุธเพื่อร่วมกระทำผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้น, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายทางร่างกายและจิตใจ ข่มขื่นใตผู้อื่นให้กระทำการใดโดยมห้หวาดกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต,รับของโจร
สำหรับของกลาง ตำรวจสามารถติดตามทรัพย์ที่ถูกปล้นไปคืนมาได้จำนวน 108 รายการ รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท จาก 141 รายการ เช่นเครื่องเพชร ทองคำ นาฬิกาหรู