ด่วน! 'เสก โลโซ' โดนคุก 2 ปี 21 เดือน ไม่รอลงอาญา ข้อหาพกปืน-เสพยา-ขัดขืนจับกุม ศาลชี้ให้โอกาสแล้ว แต่ทำผิดซ้ำ
logo ข่าวอัพเดท

ด่วน! 'เสก โลโซ' โดนคุก 2 ปี 21 เดือน ไม่รอลงอาญา ข้อหาพกปืน-เสพยา-ขัดขืนจับกุม ศาลชี้ให้โอกาสแล้ว แต่ทำผิดซ้ำ

18,297 ครั้ง
|
25 ต.ค. 2561

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ห้องพิจารณา 301 ศาลจังหวัดมีนบุรี ถ.สีหบุรานุกิจ ศาลนัดพิพากษา คดีหมายเลขดำ 1662/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 12 (มีนบุรี) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือเสก โลโซ ศิลปินร็อกเกอร์ชื่อดัง อายุ 44 ปี

 

เป็นจำเลย ในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 , เสพยาเสพติด และมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490

 

จากกรณีที่เสก โลโซ เคยก่อเหตุยิงปืน 10 นัดภายในงานฉลองสมโภชและครบรอบ 250 ปี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในบริเวณวัดเขาขุนพนม ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราชโดยอ้างว่า เป็นการบวงสรวงสมเด็จพระเจ้าตากสิน เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 29 ธ.ค.60 ก่อนที่ตำรวจ สน.คันนายาว จะเข้าจับกุมเสก โลโซ ในบ้านพัก แต่ได้ต่อสู้ขัดขวาง ข่มขู่ ซึ่งขณะนั้นก็มีอาวุธปืน และพบนาเสพติดไว้ในครอบครองด้วย จนกลายเป็นข่าวดังช่วงปีใหม่

 

ขณะที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของอัยการแล้ว มีนายตำรวจเบิกความยืนยันถึงขั้นตอนขอออกหมายค้น และการแสดงหมายค้นของศาลจังหวัดมีน กับหมายจับคดีอาวุธปืนฯของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว แต่จำเลยซุกตัวภายในบ้านพร้อมกับถืออาวุธปืนที่พร้อมยิงตลอดเวลาโดยไม่ยอมออกมาพบนายตำรวจอย่างง่ายดาย และผลการตรวจปัสสาวะยังพบว่าปัสสาวะของจำเลยมีสารเสพติดด้วยซึ่งเกิดจากการนำสารเสพติดเข้าไปในตัวของจำเลยด้วยวิธีเสพ ไม่ใช่การใช้ยาทั่วไปที่มีสารเสพติดผสม

 

จึงพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดทั้ง 3 ข้อหา ให้จำคุก ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ 1 ปี รับสารภาพลดโทษเหลือ 6 เดือน , ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่โดยขู่เข็ญว่าจะประทุษร้ายโดยมีอาวุธปืน ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และฐานเสพยาฯ จำคุกอีก 6 เดือน รวมจำคุกคดีนี้ทั้งสิ้น เป็น 1 ปี 18 เดือน

 

และให้บวกโทษของศาลอาญาคดีทำร้ายร่างกายสาวคนสนิทอดีตภรรยาอีก 1 ปี 3 เดือน เป็นจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 2 ปี 21 เดือน และให้นับโทษจำเลยต่อจากคดี พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย

 

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าขณะที่จำเลย อ้างป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์ ขณะกระทำผิดนั้น ศาลเห็นว่าจากพฤติการณ์การสื่อสารกับเจ้าหน้าที่พบว่าจำเลยรู้ผิดชอบดี จึงไม่อาจอ้างภาวะป่วยดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยนั้นไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งศาลเคยให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีในการรอลงอาญาคดีอื่นไว้แล้วแต่จำเลยยังมากระทำผิดซ้ำในช่วงเวลารอลงอาญาอีก จึงไม่สมควรให้รอลงอาญา