แพทย์ผู้เคยรักษา คุณป้ากระบะพุ่งชน รปภ.สนามบิน ยืนยัน ป่วยโรคสมองเสื่อมจริง มีประวัติการรักษาชัดเจน มีอารมณ์ง่ายต่อการกระตุ้นความโกรธโดยไม่รู้ตัว เผย เคยแนะนำให้เลิกขับรถแล้วกลัวจะหลงทาง
ความคืบหน้าคดี คุณป้าวัย 69 ปีขับรถพุ่งชน รปภ.ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และรถยนต์เสียหายอีก 4 คัน ซึ่งหลังเกิดเหตุได้เข้ามอบตัว และได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าสาเหตุของการขับรถชนเกิดจากอาการป่วยโรคสมองเสื่อม และโรคความจำเสื่อม และมีอาการข้างเคียงที่ทำให้เกิดอารมณ์รุงแรง โมโหง่ายเมื่อถูกกระตุ้นจากสภาพแวดล้อม ทำให้ในโลกโซเชี่ยลต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นข้ออ้างหลังก่อเหตุ
ล่าสุด (21 ส.ค.) หนึ่งในแพทย์ผู้เคยทำการรักษา รศ.พญ.ศิวาพร จันทร์กระจ่าง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประสาทวิทยา อุปนายกสมาคมโรคสมองเสื่อม แห่งประเทศไทย ประธานกรรมการมีสุข Society เผยว่า ตอนนี้ได้ประสานและได้รับการอนุญาติจากทางเจ้าตัวผู้ป่วย และทางญาติให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนได้ โดยได้ยืนยันว่า ผู้ป่วยได้เข้ารับการตรวจ และให้คำปรึกษา ที่คลีนิคศิวพรศูนย์สุขภาพ ซึ่งเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมจริง เมื่อช่วง 1 ปีก่อน หลังจากนั้นเดือนกุมภาพันธ์ ก็ได้เข้ารักษาตัวที่ศูนย์โรคสมองภาคเหนือ และยังเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประสาท ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมตามเอกสารที่นำไปอ้างอิงจริง
โดย รศ.พญ.ศิวาพร ยังเปิดเผยว่า ผู้ป่วยนั้นมีปัญหาในเรื่องของความจำ มักมีอาการหลงๆ ลื่มๆ บ่อยครั้ง รวมไปถึงมีอาการของโรคสมองเสื่อม ซึ่งอาการของโรคนี้มีอาการแสดงอยู่ 3 อย่าง คือ
1. เรื่องวุฒิปัญญา มีปัญหาในเรื่องของความจำ และการวางแผน
2. เรื่องของพฤติกรรมทางอารมณ์ ที่มีอาการซึมเศร้า และอาการก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย
3. ปัญหาเรื่องของการดูแลตัวเอง
ซึ่งส่วนใหญ่มักมีอาการขี้ลืมและเรื่องของพฤติกรรมทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันผู้ป่วยที่มีอาการสมองเสื่อมหากขับรถหากเกิดความหงุดหงิดจะมีอาการมากกว่าคนปกติ และนอกจากนี้คนที่ป่วยด้วยโรคดังกล่าวเมื่อขับรถอันตรายก็จะเกิดขึ้นกับตัวเองมากกว่า เนื่องจากอาจเกิดการหลงทาง และเมื่อมีเหตุอะไรมากระตุ้นก็จะทำให้ควบคุมอารมณ์ได้ยาก รวมไปถึงมีอารมณ์ฉันเฉียวมากกว่าคนปกติเนื่องมาจากอาการของโรค
อย่างไรก็ตามจากการสอบถามไปยังผู้ใกล้ชิดที่ดูแลคุณป้า บอกว่าวันที่เกิดเหตุอาสาขับรถไปส่งเพื่อนที่สนามบินไปต่างประเทศ ตั้งใจจอดรถไว้ไม่นานเพื่อเข้าไปส่ง แต่พอช่วงเข้าไปจะกลับออกมาเกิดอาการหลงลืม ทั้งหลงช่องทางที่จะเดินออกจากตัวอาคาร และที่จอดรถจนต้องใช้เวลานานกว่าจะหารถเจอ แถมมาเจอสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์จากการถูกล็อคล้อ เข้าไปอีกจึงเกิดอารมณ์รุนแรง และโมโห หลังเกิดเหตุยังเกิดอาการช็อค ลืมสิ่งที่กระทำลงไปด้วย
ทั้งนี้ทางฝั่งผู้ก่อเหตุได้ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในทุกกรณีรวมทั้งรับผิดชอบดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บด้วย แม้จะพยายามติดต่อเข้าเยี่ยมอาการแต่ทางฝั่งตรงข้ามยังขอให้รอเวลาก่อน เนื่องจากยังไม่พร้อมจะพูดคุย
ดูข่าวเพิ่มเติม ฉุนโดนล็อกล้อ ขับรถชนรปภ.-รถอื่น 4 คัน คาสนามบินเชียงใหม่ อ้างมองไม่เห็น-ป่วยอัลไซเมอร์
+ อ่านเพิ่มเติม