เส้นทางเงินหลอกลงทุนบิทคอยน์ อายัด 49 บัญชี หมุนในตระกูลจารวิจิตร หลอกลงทุน 3 ช่วง ก่อนหมุนเงินโยกย้ายให้คนในครอบครัวและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดกองปราบพบทรัพย์ในคดีที่สามารถควบคุมอายัดได้กว่า 210 ล้านบาท ส่วนที่เหลือขณะนี้ยังไม่สามารถอายัดแต่อยู่ระหว่างการประสานขอความร่วมมือ
วันนี้ (10 ส.ค.61) พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการกองปราบปราม และฝ่ายสอบสวนกองปราบปราม อยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงินจากบัญชีที่ถูกอายัดไว้จำนวน 49 บัญชี ขณะนี้เสร็จไปแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งเบื้องต้นสามารถอายัดเงินสดได้จำนวน 10 ล้านบาท จาก 7-8 บัญชี ในจำนวนนี้ ซึ่งในบัญชีที่เหลือยังอยู่ระหว่างการรอการยืนยันว่าสามารถอายัดเงินสดใบบัญชีได้ทันก่อนการโยกย้ายออกจากบัญชีหรือไม่แต่ในส่วนของการตรวจสอบบัญชีอื่นๆ ยังพบว่ามีเงินจำนวน 30 ล้านบาท ถูกโอนไปให้พี่ชายอีกคนหนึ่งของนายบูม ที่อยู่ในตระกูล จารวิจิต ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการอายัด และยังพบว่ามีเงินจำนวน 90 ล้านบาทถูกโอนจากบัญชีนายปริญญา เข้าบัญชีของแม่ ซึ่งเป็นบัญชีที่เปิดขึ้นใหม่ หลังจากที่เริ่มขั้นตอนการหลอกลวงผู้เสียหาย
จากการตรวจสอบยังพบว่าเงินจำนวน 90 ล้านบาท ยังมีการถูกโอนต่อไปยังบัญชีของพ่อนายปริญญา อีกหลายสิบล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่าบัญชีของนายปริญญา มีการโอนเงินต่อให้กับคนในครอบครัวครั้งละ 2-10 ล้านบาท จำนวนหลายครั้งส่วนทรัพย์สินที่ดิน 200 ล้าน ที่บูมและครอบครัว นำไปทำธุรกิจรับซื้อฝากที่ดิน
ขณะนี้เจ้าหน้าที่มีการประสานให้เจ้าหน้าที่ที่ดินทราบถึงทรัพย์ทั้งหมดเพื่อทำการระงับการโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์ดังกล่าว เนื่องจากเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด ทำให้หากมีการโอนผู้ที่รับโอนอาจเข้าข่ายร่วมกันฟอกเงิน ร่วมถึงเจ้าหน้าที่ที่ดินอาจจะเข้าข่ายสนับสนุนการฟอกเงินขณะที่จากการตรวจสอบบัญชีทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง จำนวน 49 บัญชี โดยแต่ละบัญชีมีการเปิดโดยคนในครอบครัวจารวิจิต และกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีรายงานว่ามีกลุ่มผู้บริหารสกุลเงินดิจิตอล เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับโอนเงินจากผู้เสียหาย และมีข้อมูลเชื่อว่าเป็นผู้ที่ร่วมในการหลอกลวงผู้เสียหายมาตั้งแต่ต้น
ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานสำหรับการฉ้อโกงในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฏาคม 2560 จนถึงต้นเดือนกันยายน 2560 โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกเป็นการหลอกลงทุนกับเงินดิจิตอลสกุลใหม่ รอบที่สองคือการหลอกลงทุนกับตัวบริษัทที่เปิดขึ้นใหม่ ที่อ้างว่าจะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์และทำให้เงินดิติจอลที่ซื้อในครั้งแรก มาลงทุนทำให้มีมุลค่าสูงขึ้น และรอบสุดท้ายคือการหลอกให้ซื้อหุ้นกับคนที่มีสื่อเสียงในตลาดหลักทรัพย์ (คือนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ) เพื่อให้ไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยการอ้างว่าจะนำมาซับพอตกับหุ้นของบริษัทใหม่ที่เตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์สำหรับในส่วนของการยึดทรัพย์ผู้ต้องหา
ขณะนี้มีรายงานว่า ตำรวจกองปราบปราม อยู่ระหว่างการประสานข้อมูลร่วมกับ ปปง. เพื่อขอข้อมูล เนื่องจาก การกระทำผิดในครั้งนี้เป็นการการะทำผิดส่วนบุคคล ไม่ใช่ส่วนร่วม จึงต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องดำเนินการยึดทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดในคดี ส่วนนอกจากนี้ทรัพย์สินอื่นๆต้องให้เป็นดุลพินิจ และต้องให้มีคำสั่งศาลสั่งลงมาถึงจะดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้นอกจากนี้มีรายงานจากทางศาลว่า ครอบครัวของนายบูม มีการยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 2 ล้านบาทเพื่อใช้ในการประกันตัว ขณะนี้ศาลยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
+ อ่านเพิ่มเติม