13 หมูป่าแถลงเปิดใจ หลังติดถ้ำหลวง 17 วัน 'โค้ชเอก' เผยรู้สึกเสียใจที่ 'น.ต.สมาน' ยอมเสียสละชีวิตเพื่อช่วยพวกเรา
logo ข่าวอัพเดท

13 หมูป่าแถลงเปิดใจ หลังติดถ้ำหลวง 17 วัน 'โค้ชเอก' เผยรู้สึกเสียใจที่ 'น.ต.สมาน' ยอมเสียสละชีวิตเพื่อช่วยพวกเรา

ข่าวอัพเดท : เมื่อเวลา 18.00 น. ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาดำเนินรายการ เดินหน้าประเทศไทย จัดแถลงข่าวตอน ส่งทีมหมูป่ากลับบ้าน นพ.ไชยเวช ธนไพศาล ผอ.โรงพ 13 หมูป่าแถลงเปิดใจ

9,267 ครั้ง
|
18 ก.ค. 2561
เมื่อเวลา 18.00 น. ที่ผ่านมา  ในช่วงเวลาดำเนินรายการ “เดินหน้าประเทศไทย” จัดแถลงข่าวตอน “ส่งทีมหมูป่ากลับบ้าน” นพ.ไชยเวช ธนไพศาล ผอ.โรงพยาบาลเชียงรายราชนุเคราะห์ เปิดคลิปอำลาของเยาวชนทีมหมูป่าที่มีต่อคณะแพทย์และพยาบาล เมื่อคืนวันที่ 17 ก.ค.  ว่า เด็กๆ สุขภาพดีขึ้น ซึ่งตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลทีมแพทย์มีกิจกรรมเสริมสร้างกำลังใจให้กับเด็ก แต่ทุกคนไม่มีอาการท้อถอยเหมือนคนอื่น มีความแข็งแรง เข้มแข็ง ส่วนในด้านจิตวิทยาก่อนออกจาก รพ.ได้จัดให้พบแพทย์พยาบาลที่ไว้ใจก่อนออกมาเผชิญสังคมภายนอก เพื่อถ่ายทอดความรักควมห่วงใยและความรู้สึก เป็นการขอบคุณต่อหน้าครั้งแรก จะถือว่าเป็นประสบการณ์ของเด็ก ขอบคุณทุกคนที่ดูแลเด็กๆ
 
ทางด้านพ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน หรือหมอภาคย์ ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 3 กล่าวว่า ตอนอยู่ในถ้ำสังเกตว่า เวลาเด็กๆ ได้อาหารไป 3-4 มื้อ เขาเริ่มมีพลัง เริ่มฟื้นตัว สิ่งที่เขาพูดกันคือเรื่องออกมานอกถ้ำ หลายคนสัญญาว่าจะหาอะไรแปลกๆ มาให้ เช่น ไส้อั่วงู อาหารพม่า นั่นคือความพร้อมของเขาตั้งแต่อยู่ในถ้ำ มั่นใจว่ากลับไปใช้ชีวิตได้ 
 
ทางด้าน ด.ช.อดุลย์ สามออน เผยว่าในวันนี้มีเจ้าหน้าที่มาช่วยขณะนั้นนั่งอยู่บนโขดหินด้านบน ได้ยินเสียงคนพูดจึงได้ลงมาทักทาย ตอนแรกคิดว่าเป็นคนไทย เห็นแล้วตกใจเพราะเป็นคนต่างชาติ  เขาถามว่าสบายดีไหม จึงตอบว่าโอเค และถามว่าให้ช่วยไหม เค้าบอกไม่ต้องให้ขึ้นไป ได้ยินชัดว่ามีกี่คนก็ตอบว่าใช่
 
สำหรับกรณีเข้าไปในถ้ำทำไมนั้นโค้ชเอกเผยว่า เด็กๆในทีมบอกว่ามีทริปไปถ้ำกันไหม เพราะบางคนไม่เคยไป ตนจึงตอบว่าถ้าอยากไปก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวจะพาไป จึงได้วางโปรแกรมไปซ้อมใกล้ๆ และลงเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการให้เจอกันวันเสาร์จะมีการเตะฟุตบอลอุ่นเครื่อง 10 โมง เสร็จแล้วจะไปถ้ำหลวงฯ เพื่อศึกษาธรรมชาติเพราะหลายคนอยากเห็น แต่ส่วนตัวเคยเข้าไปลึกกว่าเนินนมสาวแล้วแยกมีน้ำขังนิดเล็กน้อย ครั้งนี้ก็เช่นกัน เลยลองเข้าไปต่อโดยตนถามเด็กแล้วว่าจะไปกันไหม ถ้าไปมีเวลา 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องออก เนื่องจากต้องออกก่อน 5 โมง เพราะต้องส่งไตตั้นไปเรียนพิเศษ
 
อีกทั้งยืนยันว่าไม่ได้ไปฉลองวันเกิดใคร เพราะไนซ์บอกวันนี้วันเกิดต้องถึงบ้านก่อน 5 โมง พ่อแม่จัดงานวันเกิดรอที่บ้าน และเมื่อพอเข้าไปติด รู้ตัวตอนกลับออกมาว่า เลยเนินนมสาวไปแล้ว ไปถึงจุดที่ไม่รู้ว่าคืออะไร มารู้ว่าภายหลังว่าเรียกว่าเมืองลับแลหรือเมืองบาดาล ทุกคนคุยกันว่าจะเข้าไปไหม แต่ต้องว่ายน้ำกันเข้าไป ซึ่งทุกคนยืนยันว่าไป โดยน้องตี๋อาสาว่าจะเช็กเองว่าลึกหรือไกลแค่ไหน 
 
โค้ชเอกเล่าต่อว่า ยืนยันว่าเด็กส่วนใหญ่ว่ายน้ำเป็น มีเพียงบางคนที่ว่ายน้ำไม่แข็ง ต้องขี่คอไป สำหรับข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่าเด็กว่ายน้ำไม่เป็นขอยืนยันว่าไม่จริง เพราะปกติแล้วส่วนใหญ่ตนจะพาน้องไปว่ายน้ำหลังซ้อมตลอด และเมื่อเลยเนินนมสาวไปในขณะนั้นยังไม่รู้ว่าน้ำขึ้นไหม แต่ก็เช็กน้ำอยู่ตลอด  เมื่อไปถึงก็เช็คแล้วว่ามันไปได้อีก จึงถามเด็กจะไปต่อไหมเพราะต้องมุดน้ำไป แต่เมื่อมองนาฬิกาเห็นว่าเกินมาแล้ว 1 ชั่วโมง จึงบอกให้ทุกคนถอย และว่ายน้ำกลับ หลังจากนั้นเดินกลับมาปกติ แต่เมื่อมาเจอ3แยก น่าจะเป็นน้องบิวตะโกนขึ้นมาว่า “พี่เราเจอน้ำ”เมื่อเด็กถามว่า หลงทางหรือไม่ ตนตอบว่า “ไม่หลงแน่นอน เพราะมีทางเดียว” และต้องดูว่าเป็นทางเข้าไหม ตนจึงไปเช็กเอง โดยให้ตี๋ ไนซ์ อดุลย์จับเชือกไว้ พร้อมบอกว่าถ้ากระตุกเชือก 2 ครั้งแปลว่าให้ดึงกลับ ถ้าไม่ดึงแปลว่าออกไปได้ แต่เมื่อไปถึงตนพบว่าข้างล่างเป็นทราย ข้างบนเป็นหิน รู้สึกแล้วว่าออกไม่ได้ ต้องหาทางออกใหม่ จากนั้นจึงกระตุกเชือก เพราะส่งเสียงแล้วจะไม่ได้ยิน หลังจากนั้นพาเด็กขึ้นไปบนบก น้องถามว่าจะออกยังไง จึงเสนอว่าขุดร่อง และได้เริ่มลงมือ หาก้อนหิน ตอนนั้นประมาณเกือบ 5 โมง ขุดไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าน้ำจะลด ตี๋จึงบอกว่าไปหาที่นอนก่อนไหมเพราะเริ่มมืดแล้ว ทุกคนตกลงว่าไปหาที่นอนก็ได้ หลังจากนั้นตนจึงบอกไปว่าอาจเป็นน้ำขึ้นน้ำลง พรุ่งนี้อาจจะลด ไปนอนก่อนดีกว่า ขณะนั้นไม่มีอาหารในกระเป๋าเลย เพราะกินไปแล้วจากสนามฟุตบอล หลังจากนั้นได้เดินถอยออกจาก 3 แยกไป 200 เมตร เจอเนินทรายมีน้ำที่ตกอยู่หน้าถ้ำ หรือน้ำย้อยผาหิน จึงบอกน้องว่าอยู่ใกล้แหล่งน้ำดีกว่า และก่อนจะนอนหลับบอกว่าไหว้พระก่อน และขณะนั้นก็คิดว่ายังไงน้ำคงลดลง
 
น้องตี๋เล่าว่า การเอาตัวรอด ส่วนใหญ่หาน้ำกินจากหินย้อย รสชาติเหมือนน้ำเปล่าทั่วไป กินน้ำอย่างเดียวไม่มีอาหาร วันแรกยังไม่รู้สึกอะไร แต่ผ่านไป 2 วันเริ่มรู้สึกหมดแรง โค้ชเอกบอกให้อยู่นิ่งๆ ส่วนใหญ่ให้น้องที่มีไฟฉายแรงๆ ปิดก่อนเพื่อไว้ใช้ทีหลัง วันที่ 2 ก.ค.ผ่านไป 10 วันถึงมีนักดำน้ำมา ส่วนใหญ่ตอนนั้นทุกคนอ่อนแรง ไม่มีแรง
 
น้องไตตั้น เผยว่าตอนนั้นมีหน้ามืดบ้าง ไม่มีแรง หิว พอหิวมากๆ ก็ไม่นึกถึงกับข้าว เพราะจะทำให้หิวกว่าเดิม แต่คิดถึงข้าวผัด น้ำพริกอ่อง ด้าน ด.ช.ประจักษ์ หรืโน้ต กล่าวว่า ตอนนั้นกินน้ำให้อิ่มๆ ยามว่างก็ไปขุดหลุม ขุดผนังถ้ำ ใช้ก้อนหินขุดได้ 3-4เมตร
 
พ.ท.นพ.ภาคย์กล่าวว่า หลังจากที่พบเด็กทางทีมซีลก็ดำน้ำเข้าไปหาและให้พวกผม 4 คนดูแลน้องๆ เพื่อเพิ่มพลังงานอนุบาลร่างกายให้แข็งแรงก่อน โดยมีฝ่ายอำนวยการข้างนอกวางแผนการนำออกไป แต่สิ่งที่ไม่คิดว่าน่าเป็นไปได้ คือการพาน้องออกทางเดิมด้วยการดำน้ำ เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนดำเข้ามายากลำบากมาก ในใจอยากให้หาวิธีเจาะโพรงโรยตัวลงมาน่าจะปลอดภัยสุด และรอให้ระดับน้ำลดลงไป ผมฟังแผนจากคนส่งเสบียง คือเจสัน นักดำน้ำต่างชาติ เอาเสบียงมาให้แล้วบอกให้อยู่ได้ 1-2 อาทิตย์ แผนคือ 1.ให้คอย 2.ใช้หน้ากากเต็มหน้าดำน้ำออกไป ผมรอการตัดสินใจจากข้างนอก ในใจก็ห่วงว่าจะดำน้ำไหวไหม
 
ขณะที่หน่วยซีลพี่ใบเตย กล่าวว่า ในภารกิจช่วยชีวิตหมูป่าทั้ง 13 คน ตั้งใจไว้แล้วว่า หากไม่เจอเด็กจะไม่กลับเด็ดขาด โดยระหว่างการเดินทาง ศีรษะของตนทิ่มกับหินงอกหินย้อยตลอด เนื่องจากไม่ได้สวมหมวกกันน็อค ในใจคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรงานนี้ต้องสำเร็จ ต่อมา เมื่อทราบว่าพบเด็กๆ แล้ว จึงรีบไปยังเนินนมสาว เมื่อไปถึง ตนเริ่มต้นจากการทดสอบกำลังใจโดยถามว่า “หมูป่าสู้ไหม?” ครั้งแรก ยังตอบเด็กๆด้วยเสียงเบาๆ 
 
จากนั้นเด็กๆ ได้กล่าวถึงความประทับใจที่มีต่อเจ้าหน้าที่ซีลรายดังกล่าว โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียดกับสถานการณ์ เช่น เล่นหมากฮอส ตนและหน่วยซีลกินและนอนด้วยกัน ทุกวันนี้เรียกหน่วยซีล ใบเตย ว่า พ่อเนื่องจากเขาเรียกตนว่า ลูก ซึ่งหลังจากกล่าวประโยคดังกล่าวจบ ผู้ร่วมชมการแถลงข่าวปรบมืออย่างกึกก้อง
 
ขณะที่ พ.ท.นพ.ภาคย์ เปิดเผยความรู้สึกระหว่างเข้าไปดูแลเด็กๆ ทีมหมูป่าภายในถ้ำหลวงว่า สนิทสนมกับทุกคน ไม่เฉพาะคนใดคนหนึ่ง รวมระยะเวลา 9 วัน เป็นช่วงที่ต้องแบ่งปันซึ่งกันละกัน รวมถึงทำอย่างไรเด็กจะอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ ซึ่งตัวเองก็มีลูกชาย น้องๆ ซีลในทีมก็มีลูก ทำให้มองเด็กแล้วมีความรู้สึกเอ็นดู อยู่ด้วยกันแล้วจึงซึมซับเหมือนเป็นคนในครอบครัว
 
โค้ชเอก เผยว่าหลังทราบข่าวจ่าแซม อดีตหน่วยซีลที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือ 13 ชีวิตติดถ้ำหลวงฯ ทุกคนเสียใจและประทับใจที่ น.ต.สมานยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องเด็กทั้ง 13 คน เพื่อให้ได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกอย่างมีความสุขโดยปกติ ตอนทราบข่าวครั้งแรกว่ามีคนเสียสละชีวิตให้ 1 ท่าน ทุกคนช็อกและเสียใจมาก คิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวของพี่จ่าเสียใจและเดือดร้อน จากนั้นเมื่อมีทีมแพทย์มาบอกว่ามีรูปจ่าแซมมา จะทำอะไรกันไหม ทุกคนบอกว่าอยากเขียนข้อความส่งถึงครอบครัวของพี่จ่า  
 
น้องไตตั้น 1 ในทีมหมูป่าฯได้อ่านสิ่งที่โค้ชเอกเขียนถึง น.ต.สมานว่า ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ขอให้ท่านไปสู่สุขติ ขอขอบพระคุณท่านที่ได้เสียสละทั้งกายและใจ และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวคุณจ่าอย่างสุดใจ ขอกราบขอบพระคุณคุณจ่าและครอบครัว ขอให้คุณจ่าไปสู่สุขคติภพภูมิที่ดี ขอขอบพระคุณจากใจจริง จากเอกพล จันทะวงษ์
 
โค้ชเอก กล่าวถึงการถอดบทเรียนภายหลังออกจากถ้ำหลวงว่า ทราบซึ้งใจจากทุกท่านและจะใช้สติอย่างมีประโยชน์ ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าหลังตัวเองได้ประสบภัยในครั้งนี้ จะไม่ประมาท จะทำอะไรจะเช็กให้ดีว่าควรทำไหม สำหรับเรื่องบวชนั้นได้ยินจากทางผู้ปกครองเช่นกัน ส่วนเรื่องบวชอุทิศให้ น.ต.สมาน จะบวชกี่วันก็ได้ และทุกคนจะบวชพร้อมกัน
 
สำหรับเด็กๆ อีก 4 คนที่ยังไม่ได้สัญชาติไทย ในเรื่องนี้ผู้ว่าฯเชียงรายจะดำเนินการอย่างไร นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า น้องๆ ได้ยื่นเรื่องที่อำเภอแล้ว ขณะนี้อยู่ในสำนักทะเบียน รอตรวจสอบ เพื่อดำเนินตามขั้นตอน