จริงหรือไม่... ที่คนเราสามารถเปล่งเสียงดังจน 'แก้วแตก' ได้?
logo ข่าวอัพเดท

จริงหรือไม่... ที่คนเราสามารถเปล่งเสียงดังจน 'แก้วแตก' ได้?

ข่าวอัพเดท : การ์ตูนหรือหนังหลายเรื่องมีฉากที่นักร้องอุปรากรแผดเสียงจนแก้วแตกทั่วห้อง เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่? เสียงดังจนแก้วแตก,จริงหรือไม่,คนเสียงดังจนแก้วแตก,เปล่งเสียงดังแก้วแตก,แก้วแตก

3,792 ครั้ง
|
12 ก.ค. 2561
การ์ตูนหรือหนังหลายเรื่องมีฉากที่นักร้องอุปรากรแผดเสียงจนแก้วแตกทั่วห้อง เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่?
 
การเปล่งเสียงให้แก้วแตกเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน ขอเพียงเราสามารถเปล่งเสียงที่มีความถี่เหมาะสมให้ดังมากพอได้ แก้วก็จะสั่นจนแตกกระจายโดยที่ไม่ต้องอาศัยตัวช่วยเลย
 
เมื่อเราดีดนิ้วเคาะแก้วไวน์เบาๆ เนื้อแก้วจะสั่นทําให้เกิดเสียงกังวานออกมา เสียงจากการเคาะแก้วแต่ละใบจะมีความถี่เฉพาะตัว ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ธรรมชาติ (natural frequency) หากนักร้องหรือคนที่มีพลังเสียงเยอะๆ แผดเสียงใกล้กับแก้ว แก้วจะเกิดการสั่นสะเทือน และหากบังเอิญขึ้นไปอีกว่าเสียงของนักร้องคนนั้นตรงกับความถี่ธรรมชาติของแก้วพอดี คลื่นสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในเนื้อแก้วก็จะเกิดการกําทอนหรือการสั่นพ้อง เสริมแรงให้แก้วสั่นไหวอย่างรุนแรง กำทอนจนกระทั่งร้าวแตกเป็นเสี่ยงๆ
 
ยิ่งแก้วเปราะบางเท่าไร โอกาสที่เราจะเปล่งเสียงให้มันแตกก็ยิ่งมากขึ้น การทดลองหลายครั้งเผยให้เห็นว่า แก้วคริสตัลเป็นแก้วที่มีโอกาสแตกร้าวง่ายที่สุด เมื่อมีนักร้องอุปรากรเสียงสูงๆ หรือนักร้องแนวเฮฟวี่เมทัลมาว้ากใส่ใกล้ๆ
 
 
ข่าวอัพเดท : จริงหรือไม่... ที่คนเราสามารถเปล่งเ
 
 
การกําทอนกับหายนะ
 
การทรุดพังของสะพานอ็องเฌ (Angers Bridge) ที่พาดข้ามแม่น้ำแมนของฝรั่งเศส คือหายนะครั้งใหญ่ที่เกิดจากปรากฏการณ์กำทอน ในวันหนึ่งของปี 1850 ขณะที่กองทหารเกือบ 500 นาย เดินข้ามสะพาน บังเอิญมีลมแรงพัดกระโชกทําให้สะพานเอียงเขไปทางด้านข้าง ทหารจึงพยายามเดินเฉียงสวนทิศทางลมเพื่อให้ทรงตัวอยู่บนสะพานได้ พอสะพานพลิกตัวกลับเอียงไปอีกด้าน ทหารก็เดินเฉียงสวนการเอียงตัวของสะพาน สลับกันไปซ้ายทีขวาที
 
ขบวนแถวที่ส่ายสะบัดซ้าย-ขวา กับการเอียงตัวของสะพานเกิดการกำทอนเสริมแรงกัน สะพานจึงเอียงกลับไปกลับมารุนแรงหนักหน่วงขึ้น จนกระทั่งสายเคเบิลขึงสะพานขาดและสะพานก็ทรุดตัวลงสู่แม่น้ำ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้น 226 ราย
 
 
 
 
 
 
 
____________________
 
 
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ SCIENCE ILLUSTRATED ฉบับ Sep no. 2014
 
 
ขอบคุณรูปภาพจาก : pixabay
 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง