ท้าชนแจ๊คหม่า! JD.com อีคอมเมิร์ซยักษ์ของจีนนำทุเรียนไทย 5 แสนลูกขายออนไลน์ เผยแผนตั้งสนง.ใน EEC
logo ข่าวอัพเดท

ท้าชนแจ๊คหม่า! JD.com อีคอมเมิร์ซยักษ์ของจีนนำทุเรียนไทย 5 แสนลูกขายออนไลน์ เผยแผนตั้งสนง.ใน EEC

ข่าวอัพเดท : นายวินเซ็นต์ หยาง ซีอีโอบริษัทเจดี เซ็นทรัล คอมเมิร์ช บริษัทลูกในเครือ JD.com บริษัทค้าปลีกสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ยักษ์ใหญ่ของจีนและ JD.com,อาลีบาบา,ทุเรียน,ไทย,จีน

7,869 ครั้ง
|
10 พ.ค. 2561
นายวินเซ็นต์ หยาง ซีอีโอบริษัทเจดี เซ็นทรัล คอมเมิร์ช บริษัทลูกในเครือ JD.com บริษัทค้าปลีกสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ยักษ์ใหญ่ของจีนและเป็นคู่แข่งรายสำคัญของกลุ่มอาลีบาบาของนายแจ๊ค หม่า เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนจีนนิยมสินค้าไทยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงเล็งเห็นความสำคัญและพร้อมที่จะช่วยผลักดันสินค้าไทยให้บุกตลาดจีนได้มากขึ้น จึงมีแผนที่จะมาตั้งสำนักงานของ JD.com ในไทย โดยจะตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้กับบริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่งการเจรจากับรัฐบาลถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ อยู่ ทั้งนี้เชื่อว่าหากดำเนินการได้จะทำให้ทั้ง 2 ประเทศได้ประโยชน์ร่วมกัน
 
พร้อมกันนี้ JD.com ยังมีแผนที่จะนำสินค้าไทยไปกระจายในจีนมากขึ้น โดยในวันที่ 18 พ.ค.นี้ จะใช้เว็บไซต์ของ JD.com เปิด Thailand Day เพื่อเปิดขายทุเรียนนำเข้าจากไทย 500,000 ลูก และข้าวหอมมะลิ 20,000 ตัน โดยคาดว่าจะสินค้าจะหมดภายใน 2-3 สัปดาห์อย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน ยังในเร็วๆ นี้ ยังเตรียมที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการจีนได้นำสินค้าอุปโภค และสินค้าเกษตรไปจัดจำหน่ายในเว็บไซต์ของ JD.com ได้อีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างผู้ปะกอบการไทยกับ JD.com เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านบาทในอีก 3-5 ปีข้างหน้าได้ 
 
ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ประธานหอการค้าไทย-จีน ระบุว่า เพื่อเป็นการผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยที่เป็นสามชิกกว่า 7,000 ราย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีมีความสามารถในการแข่งขันและนำสินค้าไปจำหน่ายใน JD.com ได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีจำนวนน้อยมาก ทางหอการค้าฯ จะมีการฝึกอบรมผู้ประกอบการพร้อมนำไปเปิดตลาดที่จีนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังจะจัดตั้ง Thai Pavillage ที่เมืองเซิ่นเจิ้น ประเทศจีน เพื่อจัดแสดงสินค้าไทยให้คนจีนได้รู้จักและต้องการมากขึ้นด้วย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 2-3 เดือนข้างหน้า 
 
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่า จีนเป็นประเทศที่สำคัญมากของโลก ซึ่งเมื่อรวมกับการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ช จะทำให้ไทยได้ประโยชน์มากเมื่อทำการค้าร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันไทยกับจีนมีการค้าระหว่างกันอยู่ที่ 73,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมั่นใจว่าหากมีความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้น จะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีน เพิ่มขึ้นเป็น 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอีก 2 ปีข้างหน้า
 
อนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ JD.com นั้นก่อตั้งโดย “ริชาร์ด หลิว” หรือหลิว เชียงตง ในปี 1988 เริ่มจากการเป็นร้านขายอุปกรณ์ไอทีในย่านจงกวานซุนของปักกิ่ง ก่อนที่จุดพลิกผันจะเกิดขึ้นในปี 2003 ที่เกิดเหตุโรคซาร์สระบาดในเอเชีย ทำให้หลิวตัดสินใจก่อตั้งร้านค้าออนไลน์ jdlaser.com ในปี 2004 และพัฒนาต่อมาเป็น JD.com ซึ่งปัจจุบันถือเป็นอีคอมเมิร์ซอันดับ 2 ของจีน ที่มีการเปรียบเปรยว่าคือ Amazon.com เวอร์ชั่นจีน เพราะ JD.com มีการลงทุนโครงข่ายโลจิสติกส์จำนวนมหาศาล ทั้งศูนย์กระจายสินค้าในจีนกว่า 6,900 แห่ง และพนักงานส่งสินค้ากว่า 7 หมื่นคน (จากพนักงานราว 120,000 คน) รวมถึงการจัดแพ็กเกจ ตลอดการสต๊อกสินค้าด้วยตัวเอง ทำให้สามารถส่งของด่วนในเขตประเทศจีนได้ ซึ่งลักษณะธุรกิจของ JD.com แตกต่างจากอาลีบาบา ที่เป็นอีคอมเมิร์ซในลักษณะของ Marketplace ที่ให้ผู้ค้ารายย่อยเข้ามาใช้เป็นช่องทางขายสินค้า
 
และก่อนหน้านี้กลุ่มอาลีบาบาก็เพิ่งเปิดตัว "Thai Rice Flagship Store" บนเว็บไซต์ Tmall.com เพื่อสนับสนุนการขายข้าวไทยทางออนไลน์ในจีน รวมทั้งมีการนำทุเรียนไทยไปจำหน่ายบน Tmall.com และมีการประกาศจะลงทุนในพื้นที่ EEC มาก่อนด้วย